
ช่วง 4 ปี หลังมานี้ผมแทบไม่ค่อยได้ดูหนังบ่อยนัก ไม่เหมือนสมัยก่อน เนื่องด้วยชะตาชีวิตมันไม่เอื้อให้ดูเท่าไหร่
จนได้มาอ่านกระทู้พี่เพชรใน Guitarthai ชักชวนให้ไปดู the dark night เข้า
ก็สนใจ เพราะ ผมชอบ Batman และหนังประเภทพวก hero + fantasy อยู่แล้ว
โดยเฉพาะ Batman ที่เป็น hero แบบออกไปทางลึกลับนี่ เท่ห์ มาก
ในหนังจอเงินสมัยก่อนนั้น Tim Burton กับ Joel Schumacher ต่างก็สร้าง Batman ไว้ในมุมที่แตกต่างกันและล้วนแล้วแต่ success ทั้งคู่
Tim Burton
1. Batman (1989)
2. Batman Returns (1992)
Joel Schumacher
3. Batman Forever (1995)
4. Batman and Robin (1998)
Christopher Nolan
5. Batman Begins (2005)
6. The Dark Knight (2008)
พอรู้ว่า The Dark Night นำเสนอแง่มุมที่แตกต่างของ Batman ก็สนใจเข้าไปอีกว่า มันจะต่างไปยังไงอีก?.....หรือ มันนำเสนอ มุมแย่ๆของ hero หรือเปล่า?
ช่วงทำละคร ถาปัด . . . รุ่นผมทำเรื่อง พระเอกเขนก หรือ Heroic . . . นำเสนอแง่มุมแย่ๆ หรือ ห่วย ของ hero ต่างๆโดยมี ไอ้มดแดง 1 + superman + batman เป็นพระเอกละคร ซึ่งตลอดละคร เราอยากบอกคนดูว่า คุณเคยคิดบ้างไหมว่า ในวันเวลาที่เราไม่เห็น hero ของเราออกมาพิทักษ์โลกนั้น พวกเขาก็มีวัน+เวลาห่วยๆ เศร้าๆ เหงาๆ และขำๆ ได้เช่นกัน Heroic จึุงไม่ได้นำเสนอมาดเท่ห์ๆของการปราบเหล่้าร้ายจากพวก Hero เหล่านี้เลย
ผม . . . ซึ่งไม่ได้ติดตามข่าวสารอะไรเลย เกี่ยวกับหนัง
อ่านกระทู้จบ เดาไปก่อนเลยว่ามันอาจจะ concept เหมือน Heroic . . . งั้นไปดูมืออาชีพทำหนังดีกว่า
The Dark Night
เปิดเรื่องง่ายๆ ตัดจาก title สีดำเปิดออกสู่แสงสว่างด้วยภาพตัวตลกถือปืน ขย่มขวัญกันด้วย . . . เสียงเข้ากระสุนปืน . . . กับฉากการปล้นธนาคารที่ เรียบง่าย จริงจัง แต่ เร้าใจ
แล้วตลอดเวลาเกือบๆ 3 ชมกับ The Dark Night ก็ดำเนินไปอย่างมี อรรถรส สำหรับผม
หนังคุม Tone สีน้ำเงินเข้มไว้ตลอดเรื่อง ตัดสลับกับรอยยิ้มสีแดงของ Joker ที่มาพร้อมกับความกดดันเสมอๆ . . . Heath Ledger เล่นบท Joker ในภาคนี้ได้อย่างกดดัน น่ากลัว และเลือดเย็น . . . เท่ห์เป็นที่สุด
The Dark Night
ไม่ใช่ concept แบบ Heroic แต่เป็นการนำเสนอแง่มุม+ตีความ Batman ไว้อย่างน่าสนใจ
ด้วยช่องคำถามมากมายว่า hero นั้นเก่งได้จากไหน อาวุธที่ hi-tech นั้นมาจากอะไร หามาได้อย่างไร . . . Christopher Nolan นั้นกำกับและทำการบ้านมาได้อย่างดี ประกอบกับการเล่นกับความรู้สึกลึกๆของตัวละคร ความรู้สึก ผิด ชอบ ชั่ว ดี และ ไฟปราถนา . . . ส่งผลให้ Batman ภาคนี้ดู realistic กว่าภาคอื่นๆ . . . สมจริงกว่าแม้ไม่ทั้งหมด . . . มีที่มาที่ไป . . . ผมว่า Nolan เขาวาง Batman ไว้ระหว่างโลก realistic กับ fantasy ได้พอเหมาะพอดี ซึ่ง เท่ห์ว่ะ !
ใครที่เคยดู Batman Begin จะรู้ว่า Nolan ไม่ได้สร้าง Batman มากับฉาก Action หรือ Visual Effects ที่ตื่นตาตื่นใจ . . . แต่เสนอในแบบเหตุและผล และ มุมที่หนัง Hero นั้นไม่ทำกัน . . .
Begin จึงเติมเต็มและสอดคล้องกับ The Dark Night ได้อย่างสมบูรณ์ ! (ควรดูทั้ง 2 ภาค จึงจะเห็นว่า Nolan ทำ Batman ได้ดีและแตกต่างจริงๆ สมควรที่จะได้รับคำชมและความนิยม)
แม้ว่าในบรรดา Batman ทุกภาค . . .
ผมยก Tim Burton ให้เป็นผู้กำกับอันดับ 1 ในแง่ของการทำ Batman ที่ได้กลิ่นตามบรรยากาศของ Batman Comic (เรีองแบบหม่นๆ อึดอัดๆ และบรรยากาศของ Gotham City ที่โครตเท่ห์และหาใครเทียบยาก) แต่ Nolan กับมุมมองที่แตกต่าง หมองหม่น กดดัน และการผสมความสนุกสนานแบบจริงจัง (realistic) ก็ทำให้ The Dark Night เป็นหนังที่ไม่สมควรพลาดจริงๆ
ไม่ผิดหวังเลยครับ . . .
สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาหรือติดตามดูหนังเท่าไหร่ เหมือนๆกับผม
The Dark Night น่าจะเปลี่ยนบรรยากาศชีวิตในวันพักผ่อนให้คุณได้อย่างดีทีเดียว . . .
ไม่ต้องลังเลครับ ไม่ต้องคิดมาก ไปดูได้เลย
Why so serious?