พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ เป็นหนึ่งในสามผลงานของคุณ 'เล็ก วิริยะพันธุ์' นักสะสมของเก่าผู้มีใจรักในศิลปะวัฒนธรรมอย่างแท้จริง
พิพิธภัณฑ์นี้ตั้งอยู่ บนถนนสุขุมวิท บริเวณที่ตัดกับถนนกาญจนาภิเษก ตำบลบางเมืองใหม่ จังหวัดสมุทรปราการ
ตัวอาคารพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณเป็นงานประติมากรรมลอย ตัวช้างทองแดงที่ใช้เทคนิคการเคาะขึ้นรูปด้วยมือมีความสูง จากหัวช้างลงมาสู่ฐาน วัดได้ 43.6 เมตร หรือประมาณความสูงของตึก 14 ชั้น สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่จัดเก็บและแสดงโบราณวัตถุที่มีค่าที่สะสมไว้ รวมถึงรูปเคารพศักดิ์สิทธิ์ เพื่อความปลอดภัย, เพื่อความเหมาะสม และเพื่อเป็นมรดกของแผ่นดินไทย
ความฝันของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ฝันของบางคนอาจดูไร้สาระในสายตาของบางคน คงเป็นเรื่องน่าเสียดายถ้าเราปล่อยให้ความฝัน ดับสูญไปโดยไม่ลงมือทำอะไรเลย
ผมไม่รู้ว่าใครมีความเห็นอย่างไร กับงานของคุณเล็ก วิริยะพันธุ์
สำหรับผม ความฝันของเขาน่าทึ่ง และเขาลงมือทำมันก่อนจะจากโลกนี้ไป แม้ว่าผลงานจากความฝันทั้ง 3 แห่งจะยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ แต่ผมเชื่อว่าคุณเล็ก น่าจะจากโลกนี้ไปอย่างตาหลับ
The Erawan Museum
เป็นสถานที่ที่สวยงาม สัมผัสได้ถึงความตั้งใจของผู้สร้าง ผู้ออกแบบ
เปลี่ยนบรรยากาศของการพักผ่อน หย่อนใจ ที่ซ้ำซาก จำเจ ของคนเมืองได้อย่างมีอรรถรส
เงินอาจซื้อได้แทบทุกอย่าง แต่ไม่ใช่ความสุข
น้อยคนที่ร่ำรวยเงินทองเข้าใจสัจธรรมที่ว่า ความสุขทางใจเกิดขึ้นได้จากความ 'พอ' . . . ยิ่งคืนกำไรแก่สังคม ก็ยิ่งรู้จักความงามของการให้
ต่อให้เป็นความฝันที่ดูไร้สาระ ก็ต้องทำให้ลุล่วง และผลของความฝันที่ลุล่วงไปนั้น . . . คุ้มค่าเสมอ
O-Ho Katsu
8
comments |
This entry was posted on April 3, 2009
ช่วงนี้ ผมมีโอกาสได้ทานอาหารแบบปิ้งย่างบ่อยครั้ง
โดยเฉพาะร้านในแบบ All you can eat ที่กระตุ้นต่อมตะกละได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แทบทุกครั้งที่เข้าไปทาน ผมมักจดจ่อกับการทานอาหารให้ได้ปริมาณที่มาก เนื่องด้วยความตะกละ กลัวไม่คุ้ม กลัวขาดทุน กับราคาที่ต้องจ่ายออกไป . . . จึงไม่มีครั้งไหนเลยที่มีโอกาสได้ถ่ายรูป และบันทึกลง blog เก็บไว้ในความทรงจำ
บุฟเฟ่ต์ ปิ้งย่างในแบบ Korea ที่มีมากมายหลายระดับ หลายราคา ทั่วกรุงเทพฯเวลานี้ ที่ไหนดี ได้รับคำชม คำแนะนำ สบโอกาสเป็นต้องได้ไปลองชิม
หนึ่งในร้านที่ผมได้ไปเป็นลูกค้ามา และมีโอกาสได้ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก คือร้าน O-Ho Katsu ซึ่งตั้งอยู่ในย่าน shopping ที่พลุกพล่านที่สุดในกรุงเทพฯนั่นก็คือ สยามแสควร์ นั่นเอง
เห็นราคาไม่สูงมากเกินไป (400 baht) และคำโปรยที่ว่า
'คุ้มจริง อร่อยชัวร์ หัวไม่เหม็น'
ก็สนใจและได้เข้าไปทดลองในที่สุด
อาจเป็นเพราะร้านพึ่งจะเริ่มเปิดได้ไม่นาน ภายในร้านจึงสะอาดสะอ้านดี
ลูกค้ายังมีไม่มากนัก ส่งผลให้พื้นที่ร้านขนาดเพียงห้องแถวห้องเดียวที่แม้จะเล็กแต่ไม่รู้สึกอึดอัด
ผมเริ่มต้นกับการปรุงน้ำจิ้ม ด้วยการผสมพริก กระเทียมสด และมะนาวเข้ากับซ้อส
ตามด้วยการรับประทานเกี๊ยวซ่า, ผักสด และซุปเต้าหู้เรียกน้ำย่อย
ซึ่งทำให้พอรู้ได้ว่า ร้านนี้พิถีพิถันกับความสดสะอาดของอาหารอย่างพอเหมาะพอดี
แล้วอาหารจานหลักที่ผมรอคอย 'เนื้อลายย่าง' และเนื้อชนิดอื่นๆเช่น หมู ปลา ไก่ ก็ทยอยตามมาให้ปิ้ง ให้ย่าง ตามแบบ ตามสไตล์ที่เราถนัด
สลัดเกาหลี,
ข้าวผัดกิมจิ ราดหน้าด้วยไก่ผัด,
ข้าวผัดกระเทียมหนานุ่ม,
กิมจิ รสจัดจ้าน
และเกี๊ยวซ่า พอดีคำ
. . . แซมอาหารจานหลักอย่างเนื้อย่างไว้ได้อย่างกลมกล่อม
ตบท้ายด้วย ถั่วแดงเย็น และเครื่องดื่มน้ำดำที่คุ้นเคยก็เป็นอันเสร็จสิ้นมื้ออาหารไปอย่างครบถ้วน สวยงาม และพอดี
ครั้งนี้ผมไม่ 'อิ่มเกิน' เหมือนทุกครั้ง
ไม่ใช่ว่าอาหารไม่อร่อย
แต่ผมพยายามสอนตัวเองถึงความ 'พอดี'
จะว่าไปแล้ว . . .
ชีวิตคนเราก็เหมือน เนื้อย่าง . . .
ต้องดูแล ประคับประคอง พลิกแพลง
ให้ได้ความร้อนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้สุกเฉพาะส่วน
ไม่ดิบและไม่สุกเกินไป ไม่ใช้ชีวิตรวดเร็ว เร่งรีบ แต่ก็ไม่เนิบนาบ
ใช้ชีวิตให้คุ้มค่า นุ่มนวล ไม่แข็ง แห้งกระด้าง
ใช้ทุกๆวินาทีที่มีให้มีความหมาย
เพราะเวลาของเรานั้นมีจำกัด
และไม่อาจเติมได้อีกเรื่อยๆเหมือนอาหารบุฟเฟ่ต์
เราจึงต้องปรุงชีวิตของเราให้ 'อร่อย'
ให้ 'ถูกปาก' เรามากที่สุด ก่อนชีวิตจะ 'อิ่ม' แล้วจากไป . . .
โดยเฉพาะร้านในแบบ All you can eat ที่กระตุ้นต่อมตะกละได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แทบทุกครั้งที่เข้าไปทาน ผมมักจดจ่อกับการทานอาหารให้ได้ปริมาณที่มาก เนื่องด้วยความตะกละ กลัวไม่คุ้ม กลัวขาดทุน กับราคาที่ต้องจ่ายออกไป . . . จึงไม่มีครั้งไหนเลยที่มีโอกาสได้ถ่ายรูป และบันทึกลง blog เก็บไว้ในความทรงจำ
บุฟเฟ่ต์ ปิ้งย่างในแบบ Korea ที่มีมากมายหลายระดับ หลายราคา ทั่วกรุงเทพฯเวลานี้ ที่ไหนดี ได้รับคำชม คำแนะนำ สบโอกาสเป็นต้องได้ไปลองชิม
หนึ่งในร้านที่ผมได้ไปเป็นลูกค้ามา และมีโอกาสได้ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก คือร้าน O-Ho Katsu ซึ่งตั้งอยู่ในย่าน shopping ที่พลุกพล่านที่สุดในกรุงเทพฯนั่นก็คือ สยามแสควร์ นั่นเอง
เห็นราคาไม่สูงมากเกินไป (400 baht) และคำโปรยที่ว่า
'คุ้มจริง อร่อยชัวร์ หัวไม่เหม็น'
ก็สนใจและได้เข้าไปทดลองในที่สุด
อาจเป็นเพราะร้านพึ่งจะเริ่มเปิดได้ไม่นาน ภายในร้านจึงสะอาดสะอ้านดี
ลูกค้ายังมีไม่มากนัก ส่งผลให้พื้นที่ร้านขนาดเพียงห้องแถวห้องเดียวที่แม้จะเล็กแต่ไม่รู้สึกอึดอัด
ผมเริ่มต้นกับการปรุงน้ำจิ้ม ด้วยการผสมพริก กระเทียมสด และมะนาวเข้ากับซ้อส
ตามด้วยการรับประทานเกี๊ยวซ่า, ผักสด และซุปเต้าหู้เรียกน้ำย่อย
ซึ่งทำให้พอรู้ได้ว่า ร้านนี้พิถีพิถันกับความสดสะอาดของอาหารอย่างพอเหมาะพอดี
แล้วอาหารจานหลักที่ผมรอคอย 'เนื้อลายย่าง' และเนื้อชนิดอื่นๆเช่น หมู ปลา ไก่ ก็ทยอยตามมาให้ปิ้ง ให้ย่าง ตามแบบ ตามสไตล์ที่เราถนัด
สลัดเกาหลี,
ข้าวผัดกิมจิ ราดหน้าด้วยไก่ผัด,
ข้าวผัดกระเทียมหนานุ่ม,
กิมจิ รสจัดจ้าน
และเกี๊ยวซ่า พอดีคำ
. . . แซมอาหารจานหลักอย่างเนื้อย่างไว้ได้อย่างกลมกล่อม
ตบท้ายด้วย ถั่วแดงเย็น และเครื่องดื่มน้ำดำที่คุ้นเคยก็เป็นอันเสร็จสิ้นมื้ออาหารไปอย่างครบถ้วน สวยงาม และพอดี
ครั้งนี้ผมไม่ 'อิ่มเกิน' เหมือนทุกครั้ง
ไม่ใช่ว่าอาหารไม่อร่อย
แต่ผมพยายามสอนตัวเองถึงความ 'พอดี'
จะว่าไปแล้ว . . .
ชีวิตคนเราก็เหมือน เนื้อย่าง . . .
ต้องดูแล ประคับประคอง พลิกแพลง
ให้ได้ความร้อนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้สุกเฉพาะส่วน
ไม่ดิบและไม่สุกเกินไป ไม่ใช้ชีวิตรวดเร็ว เร่งรีบ แต่ก็ไม่เนิบนาบ
ใช้ชีวิตให้คุ้มค่า นุ่มนวล ไม่แข็ง แห้งกระด้าง
ใช้ทุกๆวินาทีที่มีให้มีความหมาย
เพราะเวลาของเรานั้นมีจำกัด
และไม่อาจเติมได้อีกเรื่อยๆเหมือนอาหารบุฟเฟ่ต์
เราจึงต้องปรุงชีวิตของเราให้ 'อร่อย'
ให้ 'ถูกปาก' เรามากที่สุด ก่อนชีวิตจะ 'อิ่ม' แล้วจากไป . . .
'รงค์ วงษ์สวรรค์
0
comments |
This entry was posted on April 1, 2009
แด่อินทรีย์แกร่งกล้า.......อักษรา
'รงค์แต่งแต้มกิจจา.........ถักร้อย
เพรียวนมบ่มปัญญา.......โดดเด่น
ปั้นเสกสำนวนถ้อย........จัดจ้าน จับใจ
15 มีนาคม 2552 กับการจากไปของ 'รงค์ วงศ์สวรค์
ส่งผลให้ผมรู้สึกเสมือนสูญเสีย ญาติสนิท มิตรสหายไปอีกหนึ่งคน
อาว์คือนักเขียนคนโปรดของผม ที่แม้ผมไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัว
และคงทำได้แค่รู้จักผ่านผลงานวรรณกรรมเท่านั้น แต่ผมก็รู้สึกสนิท ชื่มชม และยกย่องอาว์
ชื่นชมในแง่ของการ research ที่เจาะลึก รู้จริง ก่อนจะสร้างผลงานใดๆขึ้นมาสักชิ้น และชื่นชมในแง่ของการใช้ภาษาที่สวิงสวาย จัดจ้าน แบบที่อาว์เรียกมันว่า 'เพรียวนม' (เพราะต้องการเสียดสีนักเขียนแบบ 'เพรียวลม' ที่มีอยู่ดาษดื่นในวงการหนังสือยุคนั้น)
อาว์'รงค์ สำหรับผมแล้วก็คือ Designer ชั้นครูที่หาตัวจับยากคนนึง
Great Designer แห่งโลกวรรณกรรมที่ได้อ่านเพีัยงแค่ไม่กี่ประโยคก็รู้ได้ว่านั่นคือผลงานของอาว์
โคลงสี่บทนี้แม้ไม่เพรียวนม แต่แต่งขึ้นเพื่อชื่นชมอาว์จากหัวใจ
Rest in peace . . .
'รงค์แต่งแต้มกิจจา.........ถักร้อย
เพรียวนมบ่มปัญญา.......โดดเด่น
ปั้นเสกสำนวนถ้อย........จัดจ้าน จับใจ
15 มีนาคม 2552 กับการจากไปของ 'รงค์ วงศ์สวรค์
ส่งผลให้ผมรู้สึกเสมือนสูญเสีย ญาติสนิท มิตรสหายไปอีกหนึ่งคน
อาว์คือนักเขียนคนโปรดของผม ที่แม้ผมไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัว
และคงทำได้แค่รู้จักผ่านผลงานวรรณกรรมเท่านั้น แต่ผมก็รู้สึกสนิท ชื่มชม และยกย่องอาว์
ชื่นชมในแง่ของการ research ที่เจาะลึก รู้จริง ก่อนจะสร้างผลงานใดๆขึ้นมาสักชิ้น และชื่นชมในแง่ของการใช้ภาษาที่สวิงสวาย จัดจ้าน แบบที่อาว์เรียกมันว่า 'เพรียวนม' (เพราะต้องการเสียดสีนักเขียนแบบ 'เพรียวลม' ที่มีอยู่ดาษดื่นในวงการหนังสือยุคนั้น)
อาว์'รงค์ สำหรับผมแล้วก็คือ Designer ชั้นครูที่หาตัวจับยากคนนึง
Great Designer แห่งโลกวรรณกรรมที่ได้อ่านเพีัยงแค่ไม่กี่ประโยคก็รู้ได้ว่านั่นคือผลงานของอาว์
โคลงสี่บทนี้แม้ไม่เพรียวนม แต่แต่งขึ้นเพื่อชื่นชมอาว์จากหัวใจ
Rest in peace . . .