อาม่า และ หน้าเก๋ง
This entry was posted on August 6, 2005
แสงแดดส่องทะลุต้นมะม่วงหน้าบ้านเข้ามาในห้องลูบไล้ไปตามโต๊ะ เก้าอี้ และหนังสือหลายเล่มที่วางตัดกับพื้นไม้สีเข้ม
บ่งบอกเวลาในยามเช้า
ผมเดินไปที่หน้าต่างต้นแสง สายตาจ้องมองไปยังสนามหน้าบ้านและต้นมะม่วงที่กำลังขยับตัวตามสายลม ล้อไปกับแสงแดด
ผมมองมันอย่างตั้งใจและปล่อยให้ความรู้สึกนึกคิดไหลไปแบบสบายๆ
คล้ายๆว่ามันเป็นงานศิลปะ 4 มิติ ที่เกี่ยวข้องกับเวลา . . . ผมคิดไปเรื่อยๆ
คล้ายๆว่ามันกำลังสื่อสารกับลมและแสงแดด
คล้ายๆว่ามันกำลังจะผลัดใบ . . . บางทีชีวิตผมอาจจะเหมือนกับใบไม้สักใบในนั้นที่ไม่รู้ว่าจะผลัดใบลงมาเมื่อไหร่. . . ผมพึมพำกับตัวเอง
คล้ายๆว่ามันกำลังสอนอะไรบางอย่างกับผม . . .
"ชีวิตคนเรามันสั้น" ผมคิดถึง blog ที่ผมเขียนไว้เกี่ยวกับหนังเรื่อง "be with you"
ไม่มั๊ง ! . . . ผมแค่คิดไปเอง เติมเรื่องราวไปเองมากกว่า . . .
มันก็อยู่ของมันแบบนั้นตามธรรมชาติ
ผมคิดถึง "อาม่า"
อาม่าพึ่งจะมาพักที่บ้านผมเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว แกมาอยู่ 7 วันเต็มๆแต่ผมไม่ค่อยได้มีเวลาอยู่หรือนั่งคุยกับแกเท่าไหร่
เพราะเช้ามาผมก็ไปทำงาน กลับมาบ้านก็ดึกมากและแกเข้านอนไปแล้ว
ผมตั้งใจว่าวันหยุดวันนี้ ผมจะไปเยี่ยมอาม่า จะไปทานข้าวและนั่งคุยให้แกเห็นหน้าเห็นตาสักหน่อย
อย่างน้อยถ้าชีวิตผมเป็นเหมือนใบไม้ที่กำลังจะผลัดขึ้นมาจริงๆ ผมก็อยากให้แกเห็นผมอีกครั้งก่อนผมจะผลัดใบไป
ผมโทรไปหายี่โกวเพราะรู้ว่าอาม่าย้ายไปพักต่อกับยี่โกว
แม้ว่าอายุจะล่วงเลยจนถึงเลข 9 นำหน้าแล้วแต่อาม่าก็ยังเดินสายทักทายลูกๆหลานๆตามบ้านต่างๆในกรุงเทพฯ . . .
ยี่โกวบอกผมว่าวันนี้อาม่าจะกลับชลบุรีเพราะมากรุงเทพฯได้ 3 อาทิตย์แล้ว เริ่มคิดถึงบ้านที่นั่น ผมตัดสินใจทันทีว่าจะขับรถไปทานข้าวกลางวันที่นั่นกับแกสักหน่อย
"ป๊า วันนี้ไปหาอาม่ากันดีกว่า . . . ไม่เจออาม่ามาหนึ่งอาทิตย์แล้ว ช่วงนี้งานไม่ยุ่งมาก น่าจะไปสักหน่อย อาทิตย์หน้าและอาทิตย์ถัดไปคงจะไม่มีโอกาสไป" ผมเอ่ยปากชวนป๊า
ตั้งแต่ผมกลับไทยมา ผมไปชลบุรีไม่บ่อยนัก
เมื่อเทียบกับสมัยก่อนตอนที่ผมยังเด็ก . . .
นอกจากได้ไปเยี่ยมอาม่าแล้วผมยังจะได้ไปเห็นภาพบรรยากาศเก่าๆที่ผมเคยวิ่งเล่น, ร้านตัดผมที่ผมเคยตัด,
ร้านอาหารเก่าๆที่ผมเคยไปอุดหนุน และการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาที่ผมยังไม่เคยเห็น
ผมกับป๊าไปถึงที่นั่นตอนเที่ยงพร้อมกับอาหารทะเลและออส่วนอาหารจานโปรดของอาม่า
ไม่ต้องเดาก็รู้ได้ง่ายๆว่า อาม่า ต้องดีใจที่เห็นลูกๆหลานๆมาเยี่ยม มานั่งคุย และทานข้าวด้วยกัน
หลังอิ่มท้อง ผมเสนอ idea ว่าจะไปซื้อโอเลี้ยงและชาเย็นมาเพิ่มรสชาติระหว่างการสนทนาเหมือนที่คุ้นเคย
ระหว่างทางที่ผมขับรถไปซื้อผมมีโอกาสได้บันทึกภาพไว้เป็นที่ระลึก กับบรรยากาศและสถานที่เก่าๆที่ผมเคยสัมผัส
หน้าเก๋ง...เป็นย่านในอำเภอเมืองชลบุรีที่ครอบครัวของผมเคยอาศัยอยู่ ปัจจุบันนี้แม้ว่าเราจะไม่ได้อยู่ย่านนี้แล้ว
แต่ความคิดถึงและความผูกพันธ์นั้นไม่สามารถบรรยายได้ ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ผมไปชลบุรีแล้วจะไม่แวะไปหน้าเก๋ง
ถนนที่ไม่พลุกพล่านกับคนท้องถื่นที่คุ้นตา
ชาและกาแฟโบราณกับข้าวหมูแดง
ห้องแถวตึกเก่าและร้านตัดผม
คุณยายขายกล้วยปิ้งกับน้ำตาลแดงที่เคี่ยวจนเหนียวและหอมหวาน
ขอทานที่กำลังหลับกับเสาไฟที่ยืนเหงา . . . ผมคิดถึงรถสามล้อถีบหลากสี
ที่เคยเป็นสีสันและเสน่ห์ของถนนที่นั่น . . .
พลัน . . . ผมคิดถึงถนนที่คนพลุกพล่านและเต็มไปด้วยสิ่งของนำสมัยอย่าง Rodeo drive ใน LA หรือ Fifth Avenue ใน NY
หน้าเก๋งเป็นที่ที่ผมคุ้นเคยมานาน
โลกใบเก่าของผมได้ปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลาอย่างช้าๆ
ผมตอบตัวเองไม่ได้ว่าผมรู้จักโลกใบนี้ดีพอหรือยัง ทั้งหน้าเก๋ง กรุงเทพ หรือ ที่ไหนๆ
โอเลี้ยง4 ชาเย็น2 โอวัลติน3 ถูกแบ่งถ่ายลงสู่แก้วตามจำนวนคนในบ้าน
บทสนทนาของอาม่าและลูกหลานเป็นไปด้วยเสียงหัวเราะและความสุข
ผมปล่อยให้ความคิดฟุ้งไปตามภาพต่างๆที่เห็นในวันนี้ . . . ผสมกับความทรงจำและประสบการณ์เก่าๆที่ยังจำได้
ไม่ต้องคิดจนเหนื่อย ไม่ต้องพยายามคิดให้ออก ไม่ต้องแข่งกับเวลา ไม่ต้องแก้ปัญหา ไม่มีข้อจำกัด
ผมรู้สึกว่า ผมชอบการพักผ่อนแบบนี้มากกว่าการนอนฟังเพลงสบายๆอยู่บ้าน
ผมกับป๊าลาอาม่ากลับตอนบ่ายแก่ๆ
ผมกลับเข้าสู่กรุงเทพฯอีกครั้ง โลกปัจจุบันและปัญหาต่างๆเปิดออกให้ผมกลับเข้าไปผจญภัยตามเดิม
ทำไมผมต้องย้อนคิดไปถึงเรื่องๆเก่า ทั้งๆที่อดีตก็คล้ายกับน้ำแข็งในถุงโอเลี้ยงถุงนั้นที่ละลายและระเหยไปแล้ว
หลังข้าวมื้อเย็น . . . ผมได้ลิ้มรสของฟองนมและคาราเมลบนกาแฟบดในชื่อ "คาราเมล มัคคีอาโต" จากร้านกาแฟฟุ่มเฟือยร้านหนึ่งที่ดูจะมีสาขาเพิ่มมากขึ้นทุกวันในกรุงเทพฯ
ผมคิดถึงร้านกาแฟที่หน้าเก๋งเมื่อตอนบ่าย . . .
รูปแบบที่แตกต่าง วิธีชงที่แตกต่าง ราคาที่แตกต่าง รสชาติที่แตกต่าง แต่ความชอบไม่ต่างกัน
เหมือนๆทุกๆอย่างในโลกดำเนินไปตามวิถีปรกติของมัน . . .
วันนี้ . . . นอกจากจะได้ไปเยี่ยมอาม่าแล้ว ผมยังได้สนุกกับบรรยากาศที่คุ้นเคยและสนุกกับความคิดแบบสบายๆ
ผมกลับเข้าสู่ห้องนอนอีกครั้ง . . . แสงสว่างจากหน้าบ้านเปลี่ยนจากแสงแดดยามเช้าเป็นแสงจากหลอดไฟหน้าประตูบ้าน
ผมไม่รู้ว่าการคิดและเขียนแบบนี้เป็นการประมวลความคิดของชีวิต
หรือเป็นความฟุ้งซ่านเพ้อเจ้อ
สำหรับคนที่มีชีวิตที่โชกโชนหรือเข้มข้นอาจจะมองว่ามันเป็นเหตุผลอย่างหลังมากกว่า
ซึ่งก็อาจจะจริงแต่สำหรับผมการมองชีวิตไปข้างหน้าหรือย้อนกลับแบบเกี่ยวโยงกัน
ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเป็นการทำให้จิตใจผมสงบ . . .
ไม่ว่ามันจะทำให้ผมมองโลกชัดขึ้น หรือ มัวเท่าเดิม . . . ผมก็รู้สึกดีขึ้นและมีความสุขขึ้น
ผมล้มตัวลงที่ฟูกและหมอนใบเก่า . . . อาม่า ปะป๊า ยี่โกว ยี่เจ็ก หรือ คนขายกาแฟที่หน้าเก๋งคงกำลังเข้านอนเหมือนๆกับผม
การเดินทางของชีวิตและความคิดในวันนี้จบลง . . . แต่การเรียนรู้ชีวิตยังไม่สิ้นสุด
ผมหวังว่าพรุ่งนี้และวันต่อๆไปจะมีประสบการณ์ใหม่ๆรอผมไปสัมผัส
และเรียนรู้อีกก่อนที่จะถึงเวลาผลัดใบ
8 Response to "อาม่า และ หน้าเก๋ง"
เขียนดีมากเลยครับพี่ ชอบมาก อ่านแล้วได้ความรู้สึกสบายๆ
แบบครอบครัวๆ ชีวิตที่เรียบง่าย คล้ายจะเป็นหนทางที่ทุกคนแสวงหา
ขอบคุณที่มาเขียนบรรยายให้ได้อ่านกันครับ
Thx ที่มาอ่าน
ไม่ต้อง thx พี่ที่เขียนหรอก เข้ามาอ่าน มาpost มาคุย มาแนะนำกันได้ตามอัธยาศัย
อ่านแล้วอยากไปนั่งดื่มกาแฟโบราณในบรรยาศแบบเก่าๆค่ะ (ไม่ใช่ร้านกาแฟแบบแฟชั่นย้อนยุค)
ภาพขาวดำทำให้สถานที่มีเสน่ห์แบบเหงาๆ แฮะ หรือเพราะสถานที่ดูเงียบๆอย่างนั้นอยู่แล้วคะ
..ก่อนที่จะถึงเวลาผลัดใบ..
คนเรามีเวลาเรียนรู้อีกเท่าไหร่ก็ไม่รู้ แต่ละคนก็ไม่เท่ากันด้วย ไม่ควรปล่อยให้เวลาเสียเปล่าอย่างที่พี่ว่าไว้จริงๆค่ะ อิ อิ
กาแฟแบบเก่านี่หาดื่มยากแล้ว พวกรถเข็นกาแฟโบราณที่เห็นตามข้างถนนในกรุงเทพฯนี่เป็นแบบตั้งใจย้อนยุคทั้งนั้น
จะหาเจ้าเก่าดั้งเดิมของแท้ก็ยากเต็มที
ภาพที่ถ่ายมาเป็นสีนะ แต่พี่มาเปลี่ยนเป็นขาวดำ เพราะคิดถึงอดีต หน้าเก๋งนี่ไม่เงียบหรอกครับ กำลังดี . . . กำลังเพลินๆ
อ่านแล้วคิดถึงบ้านที่จันท์ของผมเหมือนกันเลยฮะ?
อยากกินปาท่องโก๋ โอยัวะ โอวันติน ที่อาโก ชงไรงี้อ้ะ แต่ไม่รู้จะไปหาซื้อที่ไหนกินเหมือนกัน
ชอบภาพขาวดำจังฮะ ^^"
บล๊อกโฉมใหม่ ไฉไลกว่าเดิมค่ะ (^_____^)
โห เฮียน้อง อ่านแล้วคิดถึงตอนเด็กๆมาก
ห้องแถวที่ไปค้างยาวๆทุกๆปิดเทอมหน้าร้อน ฟุตบาทแคบๆ รถที่วิ่งผ่านไปมา ค่อยๆเปลี่ยนจากสามล่อถีบสีแดง มอเตอร์ไซด์ รถตุ๊กๆ
ของกินแถวหน้าเก๋งเนี่ย ไม่แพ้ที่ไหน จำได้ว่า เช้าๆ จะตื่นพร้อมเสียงเรียกลูกค้าของ "แกงไตปลามาแล้วครับ" ตั้งแต่ยังเช้ามืด ตื่นแล้วก็กิน นมสด ที่ตั้งขายแต่ตี๔ กลางวัน อาจจะกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ที่เดินไปสั่งห่างแค่ ๒-๓ คูหา ให้มาส่ง ตกบ่าย ค่อยเดินไปตลาด ซื้ขนมไทยๆกิน ของโปรดนะ "ขนมก้นถั่ว" ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้จะหากินได้อีกมั้ย (แล้วก็ข้าวเกรียบอ่ออน ที่ผู้ใหญ่ชอบอีก) ขนมกับชาเย็นของว่างบ่าย ก่อนต่อด้วยมือค่ำที่บ้านตอน๕-๖โมง มื้อดึก ถ้าหิวก็ข้าวต้มปลาจากร้านก๋วยเตี๋ยวกลางวัน หรืไม่ก็ ขนมไทยๆ จากตรอกข้างๆ ว่าแต่ เฮียได้ไปกินหมูสะเต๊ะมั่งเปล่า
เดี๋ยวปลายปี จะกลับไปให้อาม่าเห็นหน้ามั่ง เฮียรู้มั้ยก่อนมาเรียนเนี่ย แกห้ามนักห้ามหนาไม่ให้เรียนเอก ไม่อยากให้ไปนาน ปีหน้า คาดว่า จะจบได้ หวังว่วแกจะดีใจได้ดรฺ หลานสาว
ปล.เพิ่งได้ข่าวจากพี่บี ถ้าเฮียแวะมาอ่าน เอาใจช่วย เข้มแข็งนะคะ
Thanks Bow
i'm so weak now !
Post a Comment