Friendship Village
This entry was posted on September 26, 2005
ในช่วงนี้ที่ป๊าไม่สบายและพักอยู่ที่โรงพยาบาล ผมและมาม้าต้องดูแลเอกสารต่างๆแทนป๊า
ผมหมายรวมถึงการ "เปลี่ยนบ้านเลขที่" ตามกฎการจัดระเบียบใหม่ของทางราชการ
และการแจ้งเปลี่ยนนั้นเจ้าของบ้านต้องนำทะเบียนบ้านไปแสดงเพื่อขอรับการเปลี่ยนเลขที่บ้านใหม่
ระหว่างที่ค้นหาเอกสำคัญต่างๆในซองที่ป๊าจัดเก็บเอกสารไว้ มาม้าบังเอิญเจอแผ่นพับแผ่นนี้เข้า
"ไม่รู้จะเก็บเอาไว้ทำไมเนี่ย" ม้าทำเสียงเซ็งๆที่เห็นและเริ่มหงุดหงิดที่หาทะเบียนบ้านไม่เจอ
และด้วยวิญญาณแม่บ้านของมาม้าที่ต้องการความมีระเบียบเรียบร้อย
ผมเดาได้ทันทีว่าม้าต้องการทิ้งมันไปเพราะเห็นว่าไม่จำเป็นหรือมีประโยชน์ใช้สอยอะไรนอกจากเก็บไว้ให้รกบ้าน
ผมรีบห้ามและขอมันมาเก็บรักษาไว้ทันทีที่เห็น มันคือแผ่นพับโฆษณาหมู่บ้านจัดสรรแห่งแรกในประเทศไทย . . .
หมู่บ้านที่ผมเติบโตขึ้น . . . Friendship Village
เจ๋งว่ะ . . . ผมคิดชมป๊าในใจ
ป๊าคงจะเก็บมันไว้เป็นทั้งที่ระลึกและเป็นเครื่องเตือนใจของการสร้างครอบครัวจนมาถึงทุกวันนี้
ป๊าเล่าให้ผมฟังว่าป๊าเข้ากรุงเทพฯมาด้วยความผิดหวังของอาก๋งที่อยากให้ลูกชาย
ช่วยที่บ้านทำมาค้าขายตามประสาคนจีนในสมัยก่อน ป๊าตัดสินใจเข้ากรุงเทพฯเพื่อเรียนหนังสือและอยากหางานทำที่มั่นคงกว่า จึงเข้ามาต่อสู้ผจญภัยในกรุงเทพฯและก่อร่างสร้างตัวมาจนถึงทุกวันนี้ และด้วยความที่ครอบครัวเราไม่ได้ร่ำรวย ป๊าต้องเริ่มจากศูนย์ . . . อดทนทำงาน เก็บหอมรอมริบ จนผมไม่ต้องมีชีวิตที่ลำบากอะไร
หลังจากนั้นป๊ายังแนะนำและช่วยเหลือน้องๆ (อาโกว อาเจ็ก ทั้งหลาย) ให้ตามกันมาเรียนหนังสือ
จนได้รับปริญญาและมีการงานที่ดีทำกันทุกคนซึ่งพิสูจน์ให้อาก๋งเห็นและวางใจได้ว่าลูกๆทุกคนเอาตัวรอดกันได้
หลังแต่งงานสักพักป๊าเริ่มมองหาที่อยู่อาศัยสำหรับลงหลักปักฐาน ประจวบเหมาะกับจังหวะที่ Friendship Village นี้ถูกจัดตั้งและเปิดให้จองขึ้น มันกินเวลากว่าสิบปีที่ป๊าต้องทำงานผ่อนจ่ายค่าบ้านหลังนี้ . . . ไปพร้อมๆกับการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของครอบครัว
คงไม่แปลกอะไรถ้าป๊าจะเก็บมันไว้เพื่อเป็นที่ระลึกถึงชีวิตที่ยากลำบากที่ฝ่าฟันมา
ผมจำไม่ได้แล้วว่าหน้าตาของบ้านที่ผมอยู่นี้ในสมัยก่อนเหมือนหรือต่างกันแค่ไหน
กับบ้านในภาพถ่ายของแผ่นพับนี้ ด้วยความที่เวลาล่วงเลยมานานและผมยังเด็กเกินกว่าที่จำอะไรได้ จะรู้สึกได้ก็เพียงแค่เค้าโครงของบ้าน (Structure) ที่พอจะทิ้งกลิ่นอายของความคล้ายเอาไว้บ้าง
สำหรับเด็กชายตัวเล็ก บ้านหลังนี้ดูใหญ่โต บางเวลาเป็นพื้นที่พักอาศัยหลับภัยธรรมชาติ บางเวลาเป็นสนามกีฬานานาประเภท บางเวลาเป็นพื้นที่ของจินตนาการและเรียนรู้ และบางเวลาเป็นโรงเรียนที่ไม่ต้องมีกระดานดำ
เมื่อดูแผ่นพับนี้ด้วยความตั้งใจ ผมเห็นความอดทน การต่อสู้ ความตั้งใจของป๊า ผมเห็นชีวิตและความอบอุ่นตั้งแต่ผมลืมตาดูโลกมาจนถึงวันนี้
แล้วผมจะทิ้งมันไปได้อย่างไรเล่า?
2 Response to "Friendship Village"
โอ้โหววว
นี่ถ้าเจ้าของหรือลูกเจ้าของโครงการเค้ามาเห็น
เค้าอาจจะมาขอซื้อคืนก็ได้น้า
เค้าคงไม่คิดว่าจะมีใครเก็บไว้ได้นานขนาดนี้ (^___^)
ว่าแต่ภาพประกอบดู retro ดีจังค่ะ
โดยเฉพาะคุณแม่กางเกงเขียวปริ๊ส..แนวจัง
สีนี้ย้อนกลับมาฮิตตอนนี้ซะด้วยสิ อิอิ
โดนมากๆ เห็นแล้วต้องเก็บทันที (ก่อนโดนทิ้ง)
ชอบมากครับ มันเห็นอะไรมากมายเกินกว่าแค่แผ่นพับ
Post a Comment