พุธ 17 สิงหาคม 2548
หลังบทสนทนาทางโทรศัพท์สิ้นสุด เสียงเครื่องโทรศัพท์สัมผัสพื้นโต๊ะ แล้วทุกอย่างก็เงียบลง
โต๊ะอาหารไม้ทรงกลม ในพื้นที่สี่เหลี่ยมล้อมรอบด้วยหน้าต่าง โคมไฟสีเหลืองส้มหนึ่งดวงห้อยลงจากเพดาน แสงแดดสาดส่องและอาบไปทั่วห้องพร้อมๆกับอากาศที่สดชื่นในยามเช้า มันเป็นอีกหนึ่งวันทำงานที่ผมไม่อยากลุกออกจากเตียง เช้านี้เป็นเช้าที่สบายๆเหมือนทุกๆวันที่ผ่านมา ผมเดินลงไปชั้นล่างเพื่ออาบน้ำแปรงฟัน เตรียมตัวไปทำงานตามปรกติ เห็นป๊านั่งทานอาหารเช้าอยู่ที่โต๊ะไม้ทรงกลมตัวนั้นเหมือนทุกๆวัน เราทักทายและคุยกันแล้วผมก็รีบออกจากบ้านไปทำงาน
4 ชั่วโมงต่อมาขณะที่ผมนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะใน Office เสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น
ด้วย Ring tone ที่คุ้นเคย . . .
ผมคิดขึ้นในใจก่อนจะกดรับสาย “สายจากทางบ้าน…ป๊าโทรมา”
แต่ปลายสายกลับเป็นเสียงของม่าม้า เสียงที่กระชับดังและตกใจผ่านมาตามสายทันทีที่ผมรับสายขึ้น
“ป๊าเป็นลม เรียกแล้วไม่ตอบ ไม่รู้เป็นอะไร”
เป็นประโยคที่ผมไม่คาดคิดและไม่อยากได้ยินที่สุดในชีวิต
ผมตัดสินใจกลับบ้านทันที
ผมมองออกนอกหน้าต่างชั้น 20 ของตึกที่ผมนั่งทำงาน แลเห็นถนนสุขุมวิทและรถมากมายเหมือนทุกๆวัน แต่วันนี้จิตใจมันร้อนและอึดอัด คิดไม่ออกว่าทำอย่างไรจึงจะเดินทางบนถนนเส้นนี้ให้เร็วที่สุด . . .
เพื่อให้ถึงบ้าน . . .
ขับรถกลับบ้าน?
รถไฟฟ้าแล้วไปต่อมอเตอร์ไซด์?
มอเตอร์ไซด์ยาวรวดเดียวไปเลย?
ขณะที่เดินออกจาก Office มารอลิฟต์ ผมยังคิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรดีบวกกับความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับป๊า
ทั้งๆที่ป๊าก็ดูปรกติในตอนเช้า ไม่มีอาการอะไรใดๆให้สงสัยได้เลย ทางเดียวที่ดีที่สุดที่ผมคิดได้ตอนนี้คือต้องถึงมือหมอให้เร็วที่สุด . . .
ป๊าเป็นคนอ้วน มีน้ำหนักมาก ป๊าเคยเล่นกล้ามอย่างเต็มที่ในวัยหนุ่ม มีร่างกายที่แข็งแรงและสวยงาม เมื่อหยุดเล่นและอายุมากขึ้นป๊าก็ลงพุง อ้วนท้วน แต่แข็งแรง ด้วยเหตุนี้ม้าจึงไม่สามารถที่จะอุ้มป๊าขึ้นรถและนำส่งโรงพยาบาลได้ ประกอบกับการที่ม้าไม่รู้ว่าป๊าเป็นอะไร จึงโทรหาผมก่อนหลังจากเห็นว่าป๊าผิดปรกติ
ผมตัดสินใจขับรถกลับบ้านเพราะคิดว่าคงไม่กลับมาทำงานอีก หลังขึ้นรถผมกดโทรศัพท์หาน้องสาวที่เป็นหมอ บอกเล่าอาการตามที่ได้ยินมาให้น้องฟังแล้วขอคำแนะนำ แล้วก็ตรงกลับบ้านอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
มันเป็นเวลาบ่ายโมงกว่าๆ สุขุมวิทเงียบแต่ไม่เหงา ผู้คนยังนั่งทำงานใน Office มากกว่าจะออกมาใช้ชีวิตบนถนนข้างนอก ด้วยใจที่ร้อนและพุ่งไปข้างหน้าเกินรถ รถของผมทะยานออกไปด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่การจราจรจะอำนวย
ผ่านถนน ตรอก ซอกซอยต่างๆ
ผ่านเสายักษ์ที่รองรับเส้นทางของรถไฟลอยฟ้าที่เรียงเป็นแนวต้นแล้วต้นเล่า
ผมยอมรับว่าผมขับรถอย่างไร้มารยาทที่สุดและพร้อมจะฝ่าฝืนกฎจราจรตลอดเวลา
วันนี้ผมรู้สึกว่าระยะทางจากที่ทำงานกับบ้านช่างไกลเหลือเกิน . . . ไกลกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
ไม่นานนักผมก็ถึงบ้าน หลังบทสนทนากับน้องสาว น้องผมโทรบอกโซ้ยเจ็ก, พ่อของเขา, ซึ่งเป็นหมอทางสมองโดยตรง โซ้ยเจ็กส่งรถพยาบาลมาที่บ้านผมทันที ผมไปถึงบ้านก่อนรถพยาบาลราวๆ 10 นาที อ้าปากค้างและพูดอะไรไม่ออกขณะที่วิ่งเข้าไปในบ้าน . . . ภาพตรงหน้าปรากฎร่างของชายวัยเจ็ดสิบปีนอนอยู่ที่เตียงตัวโปรด
ที่ใช้นอนดูโทรทัศน์เป็นประจำ ร่างนั้นกำลังกระตุกอยู่อย่างทุรนทุราย ใบหน้าที่ย่นเกร็ง เปลือกและเบ้าตาที่ช้ำจนเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ การหายใจที่ติดขัดและสำลักตลอดเวลาอย่างทรมานที่สุด ไม่ต้องเรียนหมอก็บอกได้เลยทันทีว่าป๊ากำลังจะตาย
“เฮ้ย นี่มันเกิดอะไรขึ้น . . . ป๊า ! ป๊าได้ยินไหม?”
ผมทรุดตัวลงแล้วกุมมือป๊าไปพร้อมๆกับเอ่ยถามและชวนคุยไปตลอด
ระหว่างที่รอรถพยาบาลมาถึงบ้านด้วยกลัวว่าเขาจะหลับไปและไม่ตื่นขึ้นมาอีก ผมโทรกลับไปหาน้องผมอีกครั้ง เล่ารายละเอียดที่ผมเห็นตรงหน้าให้เขาฟังและถามถึงการปฐมพยาบาลเบื้องต้น
“รอ”
เป็นทางเดียวและเป็นคำแนะนำเดียวที่น้องผมบอก
คงต้อง “รอ” รถพยาบาลมารับ . . . ฟังแล้วอยากจะตาย เพราะใจที่ร้อนรน สับสน และคิดหาทางอะไรไม่ออก
สมองฟุ้งซ่านเลยเถิดไปถึงการจราจรที่โครตสะดวกสบายของกรุงเทพฯจนทำให้เครียด
และคิดไม่ออกว่าอีกนานแค่ไหนป๊าจึงจะถึงมือหมอที่โรงพยาบาล . . .
“ป๊าอดทนหน่อยนะ รถพยาบาลกำลังมาแล้ว” ผมตะโกนบอกป๊าและยังกุมมือป๊าไว้แน่น
ป๊าไม่สามารถตอบหรือพูดอะไรได้ แต่กระดิกนิ้วอย่างอ่อนแรงเหมือนเป็นการตอบว่าเขาได้ยินและยังรู้เรื่องอยู่ ผมรู้ว่าป๊ากำลังเจ็บหนักเหมือนๆกับที่ผมก็เจ็บใจที่ทำอะไรไม่ได้ . . . “โธ่เว้ย! นี่มันอะไรกันวะเนี่ย”
หลังจากลุกลี้ลุกลนสักพักรถพยาบาลก็มาถึงบ้านและเคลื่อนย้ายป๊าขึ้นไป ม้ากับผมขับรถตามรถพยาบาลออกจากบ้านไปด้วยจิตใจที่สับสนและร้อนใจ ระหว่างทางไปโรงพยาบาลผมไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ น้ำตาที่ไหลออกตลอดเวลาและจิตใจที่ยากที่จะควบคุม ส่งผลให้อารมณ์ระเบิดออก ผมจำไม่ได้ว่าผมพูดและบ่นอะไรออกไปบ้างแต่ม่าม้านั่งเงียบสงบไม่พูดอะไร ม้าไม่ได้ร้องไห้แต่ความรู้สึกห่วงใยฉายชัดในนัยน์ตาคู่นั้น . . .
ป๊าถูกย้ายเข้าสู่ห้องฉุกเฉินทันทีที่ถึงโรงพยาบาล นับเวลาจากที่ผมเห็นป๊าที่บ้านจนถึงห้องฉุกเฉินไม่ต่ำกว่า 30 นาที . . .
30 นาทีที่ผ่านไปเกิดอะไรขึ้นอีกหรือไม่ภายในร่างกายป๊า?
มันร้ายแรงขึ้นอีกแค่ไหน?
สายเกินไปหรือยัง?
เกิดอะไรขึ้นกับป๊า . . . ทั้งๆที่แกไม่ได้ล้ม . . . ไม่ได้มีอาการเจ็บป่วยใดๆมาก่อน?
ความเหนื่อยกาย ความเครียด และความคิดความรู้สึกสารพัดประดังกันเข้ามา . . .
ผมกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต เป็นความรู้สึกที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตที่เคยเกิดขึ้น . . . ในเรื่องอารมณ์ของมนุษย์ ความกลัว น่าจะเป็นสิ่งที่อันตรายและร้ายกาจอย่างที่สุด คงไม่มีมนุษย์คนใดในโลกที่ไม่มีความรู้สึกนี้ การมีความกลัวอยู่บ้างคงเป็นเรื่องที่ดีในการดำเนินชีวิต แต่หากมีมากเกินไป จิตใจจะกังวลและส่งผลกระทบต่อไปเป็นลูกโซ่
พุทธศาสนาสอนให้เราเป็นคนดี เข้าใจชีวิต ควบคุมอารมณ์ กิเลส ตัณหาในใจของเรา . . .พัฒนาสู่นิพพาน . . . ในขณะที่ศาสนาสอนให้เราควบคุมจิตใจและอยู่เหนือมัน
วิทยาศาสตร์ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหลายเกิดขึ้นและดับสูญไปตามกาลเวลา ธรรมชาติไม่เคยสร้างอะไรที่สูญเปล่า เซล์ที่หมดหน้าที่ก็ถูกขับออกไป เซล์ใหม่ก็เกิดขึ้น เมื่อถึงเวลาชีวิตก็ดับสูญไปและชีวิตใหม่ก็เกิดขึ้นทดแทนกันไปแบบนี้มาหลายล้านล้านปี. . .
ใดใดในโลก (หรือจักรวาล) ล้วนอนิจจัง . . .
และแม้ว่าผมจะเคยได้ยินได้ฟังคำสอนเหล่านี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ผมก็ยังไม่สามารถควบคุมจิตใจของตัวเองให้สงบ ให้ปลง ให้นิ่ง ได้อยู่ดี
รถพยาบาลเข้าจอดที่หน้าประตูศูนย์ฉุกเฉิน เมื่อถึงโรงพยาบาลผมไม่เห็นโซ้ยเจ็ก น้องชายแท้ๆของป๊า หรืออาจารย์คณะแพทย์ศาสตร์จุฬาฯและหมอสมองฝีมือดีของประเทศไทย
แต่คาดว่าเขาคงจะรออยู่ที่ห้องฉุกเฉินแล้ว หลังจากถามทางจากพยาบาล ผมพาม้าเดินหาห้องฉุกเฉินตามทางที่บอกเพื่อไปรอฟังผลว่าเกิดอะไรขึ้นกับป๊า
5 นาทีของการนั่งอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉินยาวนานเหมือน 5 ชั่วโมง . . . ผมเห็นบุรุษพยาบาลคนที่เข็นเตียงให้ป๊าเดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน ผมรีบลุกขึ้นไปจับแขนและสอบถามเขาแต่ไม่ได้รับคำตอบอะไร ประตูที่ยังปิดไม่สนิททำให้ผมได้มองเห็นเตียงและบางส่วนของร่างกายป๊าเพียงชั่วขณะหนึ่ง โซ้ยเจ็กและพยาบาลหลายคนยืนล้อมรอบเตียง อุปกรณ์ทางการแพทย์หลายชนิดระโยงระยางไปมาบนร่างกายป๊า
การรับข่าวร้ายไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนที่ไม่เคยผ่านเรื่องแบบนี้มาก่อน ตั้งแต่ก๋งเสียไปสมัยผมยังเด็กครอบครัวของผมยังไม่มีข่าวร้ายอีกเลย บางทีเวลาแห่งความเสียใจคงจะใกล้เข้ามาทุกที . . . ชีวิตของคนเรามันช่างเปราะบางเสียจริง ผมรู้สึกได้
ไม่นานนัก ร่างของชายวัยเจ็ดสิบถูกเข็นออกมาพร้อมกับลมหายใจที่ยังคงติดขัดและทรมาน สายท่อรูปแบบต่างๆระโยงระยางไปทั่วทั้งจมูก ปาก แขน และท่อปัสสาวะ บุรุษพยาบาลเคลื่อนย้ายป๊าเข้าสู่ห้อง X-Ray อีกด้านหนึ่งของโรงพยาบาล . . . พลันผมทราบจากโซ้ยเจ็กว่าเส้นเลือดในสมองของป๊าแตกเนื่องมาจากความดันโลหิตสูง
เลือดคงจะท่วมในสมองไปมากแล้วจากเวลาที่ผ่านไปนานหลายชั่วโมงกว่าจะถึงมือหมอ การ X-Ray จะทำให้หมอวินิจฉัยต่อไปได้ว่าควรจะแก้ปัญหาอย่างไร
ป๊าเป็นคนแข็งแรง ไม่มีโรคอะไรร้ายแรง ไม่มีอุบัติเหตุ . . . นอกจากไส้ติ่งแล้วป๊าไม่เคยผ่าตัดอีกเลย
และอาจเป็นด้วยเหตุผลนี้ ผมและม้าจึงคุ้นชินกับชีวิตประจำวันแบบเรียบง่ายปราศจากปัญหาและโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ
ไม่กี่นาทีต่อมาผมทราบผลจากโซ้ยเจ็กว่าเลือดท่วมในสมองเข้าไปสู่ส่วนที่เป็นโพรงน้ำเป็นส่วนใหญ่
ซึ่งส่งผลให้ยังไม่ต้องทำการผ่าตัดทันทีแต่ต้องให้ยาเพื่อละลายเลือด
และรอดูผลว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปวันรุ่งขึ้น . . . มันไม่ร้ายแรงถึงขั้นผ่าตัด ไม่ถึงชีวิต แต่ยังไม่สามารถรับประกันว่าทุกอย่างปลอดภัยเพราะต่อจากนี้อาจจะมีโรคแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้อีก และผลจากการที่เสียเส้นเลือดไปและเลือดเข้าไปที่โพรงน้ำอาจส่งผลให้ป๊าเป็นอัมมะพาตหรืออัมมะพฤท
“รอ” เป็นทางเดียวในวินาทีนั้นอีกครั้งหนึ่งสำหรับป๊า . . .
ป๊าถูกย้ายเข้าสู่ห้อง I.C.U. เพื่อให้มีการดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา เครื่องช่วยหายใจช่วยให้ป๊าหายใจได้ง่ายขึ้นมาก อาการสำลักและกระตุกยังคงมีให้เห็นอยู่ นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นน้ำมูกและน้ำลายของป๊าเป็นสีดำ มือของป๊าสบัดขึ้นตามอาการสำลักแบบไม่สามารถควบคุมทิศทางและน้ำหนักได้ ใบหน้าและปากที่บิดเบี้ยว ผิวหนังบนใบหน้าที่ย่นเกร็ง จังหวะของลมหายใจที่หอบ ติดขัดยิ่งเพิ่มความสับสนปนร้อนใจให้ผมและม้ามากยิ่งขึ้น เราทั้งคู่ต่างคิดไม่ถึงว่าเหตุการณ์จะเลวร้ายถึงขนาดนี้ . . . ผมและม้ายืนสงบนิ่งที่ข้างเตียงมองไปที่ป๊า โซ้ยเจ็กบอกเพียงแค่ว่าต้อง “รอ” เท่านั้น
เครื่องดูดน้ำลายยังคงดูดซับน้ำลายและสิ่งสกปรก
ท่อปัสสาวะยังคงลำเลียงน้ำเสียออกไป
เครื่องช่วยหายใจยังคงปั๊มส่งลมเข้าสู่ระบบหายใจ
น้ำเกลือและยาต่างๆถูกผสมและส่งถ่ายเข้าสู่ร่างกายของป๊าสม่ำเสมอ
สิ่งเดียวที่พอจะเห็นเป็นความหวังคือการ ผงกหัวของป๊าเบาๆเมื่อผมก้มหน้าลงไปพูดข้างๆหูว่า ผมรักป๊าและขอให้เขาอดทนอย่ายอมแพ้ ขณะนี้เขาได้อยู่ในการดูแลอย่างดีที่สุดแล้ว . . . ดูเหมือนว่าสมองของเขายังคงตอบสนองได้ ยังคงรับรู้และเข้าใจสิ่งที่ผมพยายามบอกเขา
คืนนั้นผมขับรถกลับบ้านกับม๊าอย่างเลื่อนลอย . . .
แสงจันทร์ฉายแสงซีดบนท้องฟ้าที่มืดครึ้มแลดูหม่นหมอง เมื่อความเหนื่อยกาย เหนื่อยใจ ความเครียด ความรู้สึกสารพัดประดังกันเข้ามา หลายคำถามผุดขึ้นมาในคืนนั้น และผมไม่มีคำตอบ ผมมองไปรอบๆบ้านอย่างอึดอัด บ้านที่เรา พ่อ แม่ ลูก อยู่ด้วยกันมาตลอด แล้วความกลัวก็เข้ามาครอบงำในจิตใจ คืนนี้เป็นคืนที่ยาวนานและผมจำไม่ได้ว่าผมหลับไปช่วงไหน
ม่านตาเบื้องหน้าคลี่ออกมองเห็นสีดำทั้งผืน ผมไม่แน่ใจว่าผมหลับหรือตื่นขึ้นมาแล้ว เมื่อสายตาปรับได้ระดับชัดลึกผมเห็นเพดานห้องในความมืดจนเกือบจะมองไม่เห็น ผมตื่นขึ้นตอนเช้ามืดในเวลาที่แสงแดดยามเช้ายังมาไม่ถึง ความหวาดกลัว ความเครียด และการสูญเสียยังไม่มีทีท่าจะเบาบางลงจากจิตใจได้ง่ายๆแล้วผมก็รีบออกจากบ้านไป
20 วันในห้อง I.C.U. กับการต่อสู้กับโรคร้ายของป๊าผ่านไปอย่างยากลำบาก เมื่อไม่ต้องพึ่งพาเครื่องมือทางการแพทย์ต่างๆและเริ่มทานอาหารได้อีกครั้ง ป๊าก็เริ่มรู้สึกดีขึ้น พร้อมๆกับความรู้สึกถึงความหวังที่ชัดเจนขึ้นของคนรอบๆข้างที่คอยให้กำลังใจอยู่ แม้ว่าแขนขาจะยังไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ แต่การขยับแสดงให้เรารู้ว่าป๊าคงจะรอดพ้นจากการเป็นอัมมะพาตอย่างแน่นอน แค่เพียงมีบางสิ่งที่ป๊าต้องเรียนรู้ก่อนที่จะสามารถกลับบ้านได้ บางสิ่งที่อาจเป็นเพียงสิ่งง่ายๆสำหรับเราแต่ผมมั่นใจว่ามันไม่ง่ายเลยสำหรับป๊า
ป๊าต้องเริ่มต้นเรียนรู้จักการควบคุมร่างกายตัวเองอีกครั้งแบบเป็นระบบ ตั้งแต่การลืมตา ปรับตำแหน่งของตาดำและสายตาให้ชัด พลิกตัว จับสิ่งของ การขับถ่าย การลุกนั่ง ตลอดไปจนถึงการยืนและเดิน นอกจากต้องต่อสู้กับตัวเองแล้วป๊ายังต้องต่อสู้กับโรคแทรกซ้อนต่างๆที่เกิดขึ้นตลอดเวลา เมื่ออาการเริ่มดีขึ้นแล้วป๊าถูกย้ายไปที่ส่วน คลีนิคผู้ป่วยนอก, O.P.D. ซึ่งทำให้ผมสามารถพักอยู่กับป๊าได้ตลอด 24 ชม. และน่าจะเป็นสัญญาณที่ดีที่ได้ออกจากห้อง I.C.U.
ตาดำที่เคยถ่างห่างและมองเห็นภาพซ้อนเริ่มกลับเข้าสู่ตำแหน่งปรกติ
มือที่เคยสบัดและควบคุมไม่ได้เริ่มคงที่ขึ้นแม้จะยังมีอาการแกว่งและไม่นิ่งให้เห็นอยู่ทางซีกขวา
ขาเริ่มขยับได้มากขึ้นแม้จะลีบลงบ้างจากการนอนมานาน
ระบบขับถ่ายเริ่มเข้าที่เข้าทางเป็นระยะเป็นเวลา
และที่สำคัญ “ความดัน” เริ่มที่จะลดลงพ้นจากระดับอันตราย
อีกเกือบ 20 วันใน O.P.D. ที่ป๊าต้องต่อสู้กับการปรับตัวและจิตใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นซึ่งดูเหมือนว่าอย่างหลังจะทำได้ยากยิ่งกว่า ผมรู้ว่ามันทรมานและน่าอึดอัดที่ต้องนอนอยู่ที่โรงพยาบาลหลายสัปดาห์โดยที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และยิ่งน่าทรมานและอึดอัดกว่าเมื่อเห็นน้ำตาของป๊าที่ไหลออกมาเพราะความเครียดที่ยังเอาชนะโรคร้ายไม่ได้ ผมบอกป๊าเสมอว่าป๊าดีขึ้นมากแล้ว อีกไม่นานก็สามารถกลับบ้านได้และกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปรกติ ผมไม่ได้โกหกป๊าหรือโกหกตัวเอง ผมเชื่อว่าป๊าจะต้องดีขึ้นอีก ผมเชื่ออย่างนั้น. . .
ผลการตรวจเลือดและ X-Ray สมองของป๊าครั้งล่าสุดบอกให้รู้ว่า ทุกๆอย่างกลับมาอยู่ในสภาวะปรกติแล้ว และนั่นหมายถึงการผ่าตัดสมองจะไม่เกิดขึ้น ที่เหลือจากนี้อยู่ที่ "ใจ" ของป๊าเท่านั้น ใจที่จะไม่ย่อท้อต่อความอึดอัด ความไม่คล่องตัวเหมือนก่อน ใจที่จะอดทนต่อเวลาที่ยาวนานของการฝึกฝนทางกายภาพเพื่อให้กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปรกติ
ป๊าในวันที่เกิดเหตุกับป๊าในวันนี้ต่างกันค่อนข้างมาก ป๊าเหมือนฟื้นขึ้นอีกครั้งหลังจากครึ่งเป็นครึ่งตายมาหลายสัปดาห์ ตลอดเวลาที่ป๊าอยู่โรงพยาบาล ตั่วโกว ยี่โกว ซาโกว ซี๊โกว โซ้ยโกว ซาเจ็ก ซาซิ่ม โซ้ยซิ่ม ญาติพี่น้องและผองเพื่อนต่างแวะเวียนมาเยี่ยมและให้กำลังใจป๊าไม่ขาด
พุธ 22 กันยายน 2548
ไฟบนฝ้ายังคงส่องสว่าง เครื่องปรับอากาศยังคงปรับอุณหภูมิให้คงที่ต่อไป เวลากว่า 5 สัปดาห์ในโรงพยาบาลที่แสนยาวนานและกดดันค่อยๆผ่านไปอย่างช้าๆและยังไม่สิ้นสุด วันนี้ป๊าไม่ต้องขยับเพียงแค่นิ้วหรือผงกหัวตอบรับบทสนทนาของผมเหมือนวันนั้นอีกต่อไป ป๊าต้องพูดต้องคิดและขยับทั้งร่างกายให้ได้เหมือนคนปรกติ ยิ่งเร็วยิ่งเป็นผลดีและจะทำให้ป๊าออกจากโรงพยาบาลได้เร็วยิ่งขึ้น
ไม่รู้เป็นเรื่องบังเอิญหรืออย่างไรกับ Blog ที่ผมเขียนช่วงนี้ทั้งเรื่อง “be with you”+“อาม่าและหน้าเก๋ง” รวมถึงเรื่องของ "ป๊า" จะมีประเด็นที่เหมือนกันและเกี่ยวโยงกันอยู่คือเรื่องของเวลาชีวิต . . . “ชีวิตคนเรามันสั้น” . . . หลายๆคนรวมทั้งผมเองคงจะเคยมองข้ามมันไป ไม่เห็นคุณค่าของมันโดยเลือกที่จะ “บ่น” หรือ "ละเลย" มันมากกว่าทำจะอะไรที่เป็นประโยชน์
ว่าไปแล้วผมก็เป็นคนที่โชคดีแล้วที่อย่างน้อยก็ได้เรียนรู้และพบสัจธรรมข้อนี้
จากประสบการณ์ตรงๆแม้ว่าเราจะสามารถเรียนรู้ประสบการณ์เหล่านี้ได้ทางอ้อมจากการอ่าน ฟัง หรือมองเห็น
คนเรามักไม่ค่อยเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามีจนกว่าเราจะเสียมันไป บางทีก่อนที่เราจะบ่นเราน่าจะตรองดีๆก่อน
แล้วเราอาจจะพบว่าเราก็โชคดีแล้วที่ยังมีโอกาสหรือมีสิ่งดีๆที่คนอื่นๆอีกหลายคนไม่มี
ในเมื่อชีวิตมันเปราะบางและสั้นเช่นนี้
ในเมื่อเราไม่รู้ว่าเรามีเวลาชีวิตที่เหลืออยู่อีกนานแค่ไหน
เราน่าจะทำชีวิตของเราให้ดีและมีค่าที่สุดก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป . . .
6 Response to "ป๊า"
ยินดีด้วยค่ะที่ทุกอย่างดีขึ้นเรื่อยๆ
กำลังใจสำคัญที่สุด
ตอนที่แม่เข้าโรงพยาบาล
ก็มีอาการชักเหมือนกัน และเริ่มจะไม่รู้สึกตัว
พูดไม่ชัด และไม่ค่อยรู้เรื่อง พยายามจะดึงสายน้ำเกลือออกจากแขนตลอดเวลาที่รอผลตรวจ
และสิ่งที่จำได้ขึ้นใจที่สุด คือตอนที่เค้าจะเข็นเตียงเข้าไปที่ห้องไอซียู
แม่หันมาพูดว่าแม่รักลูกนะ ด้วยปากที่แข็งเกร็ง ฟังไม่ชัดเท่าไหร่...แม่พูดอีกหลายอย่างที่ฟังไม่ค่อยออก
ร้องไห้เลยค่ะตอนนั้น
มาทราบทีหลังว่าเค้าจำอะไรไม่ได้ตั้งแต่ตอนที่เริ่มชักที่บ้านแล้ว เค้าจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากที่ถูกส่งตัวมาที่โรงพยาบาล..
ทำให้เราทราบว่า ความรักของเค้าอยู่ในใจเค้าตลอด
ถึงจะครองสติไม่ได้แต่เค้ายังพูดออกมาได้อย่างนั้น..
ก็ถือว่าอย่างน้อย การที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นก็ทำให้เราโชคดีอยู่อย่างนึง ว่าเราก็ยังได้มีโอกาสแสดงความรักให้กันและกันก่อนที่เราจะไม่มีโอกาสเลย เหมือนที่บางคนอาจจะไม่ทันได้มีโอกาสได้ทำ และรายึดถือเป็นสิ่งเตือนใจตลอด เวลาที่มีปากเสียงกันตามประสาคนในครอบครัว ทำให้เราหายโกรธกันเร็วขึ้นค่ะ
รักษาสุขภาพค่ะ(ทั้งพี่และครอบครัว =)
ขอบคุณมากครับ joob
โอยย โล่งอกไปหน่อย อ่านตอนต้นลุ้นแทบแย่
แต่รู้ว่าน่าจะจบลงด้วยดี
บ้านผมยังไม่เคยเจอกับเหตุการณ์ลักษณะนี้เลยครับ
ถ้าเกิดขึ้นผมไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน
พยายามคิดว่าทุกคนหนีความจริงอันนี้ไปไม่พ้น แต่เมื่อถึงเวลานั้นเราต้องทำความเข้าใจกับมันให้ได้ อย่ายึดติดกับมัน
ธรรมะคงเป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยทำให้จิตใจของเราสงบลงได้
รักษาสุขภาพทั้งกายและใจให้สงบสุขกันดีกว่า
มันทำใจยากว่ะ doy ทั้งๆที่ก็รู้ว่าวันนึงมันต้องเกิดขึ้น แต่มาแบบไม่ตั้งตัวนี่มันทำใจยากจริงๆ
จิตใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
เพิ่งมาอ่านว่ะ ก็ มีสติเข้าไว้ กูเคยผ่านเหตุการณ แบบมึง แต่ไม่โชคดีเหมือนมึง ทุกอย่างไม่แน่ไม่นอน ทำใจไว้ทุกเรื่อง พูดง่าย ทำยาก แต่ก็ต้องทำให้ได้
ขอบใจมากว่ะเพื่อน
Post a Comment