โดนหวัดใหญ่เล่นงานอาการทรุด
หนาวที่สุดร้อนที่สุดน่าใจหาย
ปวดประดูกปวดกล้ามเนื้อปวดร่างกาย
ปวดบรรลัยเดินไม่ไหวต้องใช้คลาน
คออักเสบหายใจขัดฟึดฟัดฟู่
หวัดเคยรู้สองสามวันก็จางหาย
หวัดคราวนี้สี่วันล่วงมิเสื่อมคลาย
หน้าก็มืดตาก็ลายตลอดวัน
กินไม่ได้นอนไม่หลับกระสับกระส่าย
เหงื่อโทรมกายเหนื่อยหัวใจใกล้อาสัญ
เห็นชีวิตมีคุณค่ากว่าทุกวัน
สิ่งมีค่าอื่นใดนั้นของนอกกาย
ไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ
จำไว้เถิดพี่น้องผองสหาย
แล้วจะมัวมาเขียนกลอนก่อนทำไม
สมควรไปพักผ่อนนอนต่อเอย
Neubau Welt
15
comments |
This entry was posted on December 13, 2005
ไม่คิดว่าจะพลาดท่าเสียทีให้กับห้างเปิดใหม่กลางเมืองอย่าง Siam Paragon ที่เปิดตัวกันไปอย่างอึกทึกครึกโครมช่วง long weekend ที่ผ่านมา. . .
ปรกติแล้วของใช้ไม้สอยและของ brand name ราคาแพงไม่สามารถกระชากเงินออกจากกระเป๋าผมได้
การแวะเข้าไปที่ Siam Paragon จึงไม่ใช่เรื่องน่ากลัวสำหรับผม
ก็แค่อยากแวะเข้าไปดูว่า projector สำหรับ motion graphics ที่ผมเกือบตกปากรับทำให้กับ Matching Entertainment น่ะมันเป็นยังไง?
ก็แค่อยากแวะเข้าไปดูว่า Poster, Credit card, Pamphlet, Brochure ที่ทาง Siam Paragon เคย deal กับ JWT และ Agency อื่นๆน่ะ มันจะออกมาในรูปไหนกันแน่ เพราะคุณๆเจ้าของทั้งหลายต่างก็มีรสนิยมสูงและพิถีพิถันกันทั้งนั้น?
แค่อยากไปดูเท่านั้นจริงๆ . . .
เหตุการณ์น่าจะเป็นไปตามคาดหากผมไม่แวะเข้าไปเยือนร้านหนังสือชั้นดีอย่าง Kinokuniya
...ที่นั่น...
ด้วย 20% discount และชื่อของ Neubau Welt, German graphic designer คนโปรดของผมที่ทำให้ผมต้องพลาดท่าเสียทีถูกกระชากเงินออกจากประเป๋าไปแบบง่ายๆ
Neubau Welt เป็น graphic designer ชาวเยอรมันที่เคยสร้างผลงานกับ DesignerShock
ซึ่งถูกวิจารณกันหนาหูว่าเลียนแบบมาจาก TDR ทั้งหมด...แต่ก็เพราะความเหมือน TDR อย่างมากนี่เองที่ทำให้ DSOS1 กลายเป็นหนึ่งในหนังสือ Graphic ที่ขายดีและเป็นหนังสือสะสมของนักออกแบบทั่วไป
Neubau Welt เล่มหนาราคาแพงเล่มนี้เหมือนเป็น encyclopedia สำหรับ elements รอบๆตัวที่เห็นได้ทั่วๆไป (everyday elements) ในรูปแบบของ vector graphic
ราคาที่จ่ายไปสำหรับหนังสือเล่มนี้นั้นได้รวมถึงการซื้อลิขสิทธิ์สำหรับการ edit และ reuse 1247 elements ที่เห็นในหนังสือทั้งหมดโดยไม่มีข้อจำกัด . . . ซึ่ง elements ทั้งหมดได้ถูกบรรจุไว้ใน CD-Rom พร้อมกับ 3 Neubau typefaces (NB55RLS, NBBlatt, NBUrban) for Mac and Window.
รายละเอียดหนังสือ
Dimensions: 9.75" x 11.5" (inches)
Pages: 304
Edition: Hardcover
Languages: English
แล้วผมก็เดินตัวเบากระเป๋าแห้งกลับบ้านไป . . .
ปรกติแล้วของใช้ไม้สอยและของ brand name ราคาแพงไม่สามารถกระชากเงินออกจากกระเป๋าผมได้
การแวะเข้าไปที่ Siam Paragon จึงไม่ใช่เรื่องน่ากลัวสำหรับผม
ก็แค่อยากแวะเข้าไปดูว่า projector สำหรับ motion graphics ที่ผมเกือบตกปากรับทำให้กับ Matching Entertainment น่ะมันเป็นยังไง?
ก็แค่อยากแวะเข้าไปดูว่า Poster, Credit card, Pamphlet, Brochure ที่ทาง Siam Paragon เคย deal กับ JWT และ Agency อื่นๆน่ะ มันจะออกมาในรูปไหนกันแน่ เพราะคุณๆเจ้าของทั้งหลายต่างก็มีรสนิยมสูงและพิถีพิถันกันทั้งนั้น?
แค่อยากไปดูเท่านั้นจริงๆ . . .
เหตุการณ์น่าจะเป็นไปตามคาดหากผมไม่แวะเข้าไปเยือนร้านหนังสือชั้นดีอย่าง Kinokuniya
...ที่นั่น...
ด้วย 20% discount และชื่อของ Neubau Welt, German graphic designer คนโปรดของผมที่ทำให้ผมต้องพลาดท่าเสียทีถูกกระชากเงินออกจากประเป๋าไปแบบง่ายๆ
Neubau Welt เป็น graphic designer ชาวเยอรมันที่เคยสร้างผลงานกับ DesignerShock
ซึ่งถูกวิจารณกันหนาหูว่าเลียนแบบมาจาก TDR ทั้งหมด...แต่ก็เพราะความเหมือน TDR อย่างมากนี่เองที่ทำให้ DSOS1 กลายเป็นหนึ่งในหนังสือ Graphic ที่ขายดีและเป็นหนังสือสะสมของนักออกแบบทั่วไป
Neubau Welt เล่มหนาราคาแพงเล่มนี้เหมือนเป็น encyclopedia สำหรับ elements รอบๆตัวที่เห็นได้ทั่วๆไป (everyday elements) ในรูปแบบของ vector graphic
ราคาที่จ่ายไปสำหรับหนังสือเล่มนี้นั้นได้รวมถึงการซื้อลิขสิทธิ์สำหรับการ edit และ reuse 1247 elements ที่เห็นในหนังสือทั้งหมดโดยไม่มีข้อจำกัด . . . ซึ่ง elements ทั้งหมดได้ถูกบรรจุไว้ใน CD-Rom พร้อมกับ 3 Neubau typefaces (NB55RLS, NBBlatt, NBUrban) for Mac and Window.
รายละเอียดหนังสือ
Dimensions: 9.75" x 11.5" (inches)
Pages: 304
Edition: Hardcover
Languages: English
แล้วผมก็เดินตัวเบากระเป๋าแห้งกลับบ้านไป . . .
ทดแทน
18
comments |
This entry was posted on December 4, 2005
ยามราตรี กรุงเทพฯบางซอกหลืบไม่เคยหลับ หลังอาหารมื้อเย็นที่นุ่มนวลจากตะวันรอนแสงจนเลยนาทีหลัง 23.00 น.ในวันสุดสัปดาห์ หลากหลายผู้คนซึ่งรู้สึกว่ามีเงินเพียงพอไม่ยำเกรงต่อความสิ้นเปลือง
มักรวมตัวกันเพื่อให้ปลายลิ้นสัมผัสกับวิสกี้ผสมโซดา ยินเสียงดนตรีบรรเลงสด ยลโฉมนารีเอวบางในยามราตรีมืดมิด ผมและเพื่อนๆสถาปัตย์จุฬาฯรุ่นที่ 60 รวมตัวกันอีกครั้งที่ซอกหลืบหนึ่งบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ชีวิตอดีตที่ถูกขุดคุ้ยขึ้นสนทนาครั้งแล้วครั้งเล่านำมาซึ่งเสียงหัวเราะ
รอยยิ้มอิ่มอาบบนใบหน้ากับรอยตีนกาที่ฉายชัด
หลังเรียนจบ ทุกๆคนต่างแยกย้ายกันไปตามวิถีทางของตน ตามโชคชะตา ตามความปราถนาของใจ . . . เรากลับมาเพื่อแลกเปลี่ยนทัศนะและถามไถ่ถึงความเป็นไปในปัจจุบัน เนื่องด้วยเราไม่เห็นหน้ากันทุกวันเหมือนสมัยเป็นนิสิต ผมไปรับของที่ผมฝากซื้อจากเพื่อนที่พึ่งกลับจากสหรัฐและถือโอกาสทักทายเพื่อนคนอื่นๆไปด้วย
“เฮ้ย! ตอนนี้มึงทำอะไรอยู่วะ”
เป็นคำนิยมที่ได้ยินกันบ่อยครั้งไม่ต่างจาก “How are you?”
เหมือนเป็นคำถามที่ไม่ได้ต้องการคำตอบที่จริงจังนัก เหมือนเป็นคำทักทายสำหรับเพื่อนที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานาน . . . มันอาจจะเป็นคำถามที่ผมไม่รู้สึกอะไรถ้าผมใช้ชีวิตไปตามวิถีปรกติของมนุษย์เ งินเดือน
“ตอนนี้กูไม่ทำอะไรเลยว่ะ”
ผมตอบเหมือนที่เคยตอบคนอื่นๆ แม้จะรู้ดีว่าสายตาสงสัยที่มองกลับมาหลังคำตอบนี้
จะเกิดขึ้นอีกครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมๆกับคำถามต่อๆไป...
บางคนคิดในใจ
บางคนเอ่ยปากถามต่อ
บางคนเข้าใจ
ขณะที่บางคนไม่สนใจ
ผมอาจจะกำลังใช้ชีวิตอยู่ที่สหรัฐอีกครั้ง ณ เวลานี้หากทุกอย่างดำเนินไปตามปรกติ
แต่วันนี้...ผมนั่งอยู่ที่นี่ ในประเทศที่ผมเกิด ในเมืองที่ผมคุ้นเคย
ผมหยุดรับงานมา 2 เดือนเต็ม ใช้ชีวิตอยู่กับป๊าอย่างเต็มที่ขณะพักฟื้นจากโรคร้ายที่เกือบคร่าชีวิตของเขาไป มาม้าที่สุขภาพไม่สู้จะแข็งแรงนักไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ แค่เพียงดูแลตัวเองให้ไม่เจ็บไม่ไข้ก็ลำบากมากเกินพอสำหรับเขาแล้ว ป๊าเริ่มหัดเดินอย่างเชื่องช้าพร้อมกับการต่อสู้กับโรคแทรกซ้อนนานาชนิด หนักบ้าง เบาบ้าง สลับกันไป
การพบเจอเพื่อนๆในครั้งนี้ของผมจึงไม่สดชื่นเหมือนครั้งก่อนๆ ผมกวาดสายตาไปรอบๆตัว นักดนตรีบรรเลงเพลงบลูส์กำลังเข้าถึงอารมณ์เพลง กรีดนิ้วลงบนสายกีต้าร์แผดเสียงที่บาดลึกถึงวิญญาณ มันเป็นเพลงเก่าที่คุ้นหูผมมานาน ความเคลื่อนไหวอลหม่านของผู้คนในร้านและเสียงสนทนาที่ดังแข่งกับเสียงดนตรี
เชื้อเชิญคนภายนอกให้เข้ามาร่วมประทับรอยตีนในร้าน แต่ยิ่งบรรยากาศคึกคักว่องไว ใจผมก็ยิ่งอ่อนแรงลงสวนทางกัน มันเป็นความครุกรุ่นห่อหุ้มความเงียบเชียบอยู่ภายใน
ผมหยุดสายตาลงที่โต๊ะด้านถัดไปจากเวทีดนตรี สงบนิ่งที่เถ้าบุหรี่บนปลายไฟขณะมันลามเลียเข้ามาจวนเจียนถึงหว่างนิ้ว เขายกมันขึ้นดูดอย่างระมัดระวังและมองมันอย่างครุ่นคิด รายรอบเขานั่งเบียดเสียดกันบนเก้าอี้ตัวเล็กไร้พนักพิง มือถือแก้ววิสกี้ทิ่พร้อมจะไหลรินเข้าสัมผัสปลายลิ้นตลอดเวลา . . .
พลันผมคิดขึ้น . . . ชีวิตก็เหมือนเถ้าบุหรี่ที่แม้จะประคับประคองอย่างระมัดระวังให้นิ่งเพียงใด เมื่อถึงเวลาก็ต้องร่วงหล่นมอดสลายลง
ผมคิดถึงป๊า . . .
“เฮ้ย มึงไม่มีงานทำ?”
ผมไม่ตอบ . . . แต่เล่าเรื่องป๊าให้เพื่อนฟัง . . .
เพื่อนที่สูญเสียพ่อไปแบบฉับพลันขณะมันใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศแสดงท่าทีเห็นใจ เข้าใจ พร้อมให้กำลังใจ
“ไม่หาเด็กมาดูแล?”
เป็นคำถามเชิงแนะนำที่ผมได้ยินบ่อยครั้งหลังคำตอบว่า . . . “ตอนนี้กูอยากอยู่กับป๊าก่อน”
คำว่า รู้คุณ กับ ทดแทนคุณ คงไม่เหมือนกันแม้จะหาข้อแตกต่างหรือคำจำกัดความที่แยกสองคำนี้ออกจากกันลำบาก การส่งเด็กจากศูนย์ Nursing care หรือพยาบาลส่วนตัวมาดูแลพ่อแม่คงเป็นเรื่อง “กตัญญู” ของมนุษย์เมืองที่มีเวลาว่างน้อยลงทุกวัน ซึ่งไม่ผิดและตำหนิไม่ได้
ผมรู้ว่าการหยุดทำงานหมายถึงการเสี่ยงต่ออนาคตระยะยาว แต่ผมไม่อยากใช้มันเป็นข้ออ้างเพราะผมกลัว...กลัวที่จะมีเวลาใช้ชีวิตใกล้ๆเขาไม่เพียงพอ หลายคนอาจบอกว่า ยังมีเวลาทดแทนคุณอีกเยอะ มีวิธีที่ทดแทนคุณได้มากมายหลายวิธีโดยไม่ต้องหยุดทำงานหรือใช้เวลาอยู่ใกล้ๆเขา โดยเฉพาะช่วงเวลาที่การงานกำลังก้าวหน้า แต่ในความเป็นจริง เวลาและโอกาสไม่เคยมีอีกเยอะ และอาจไม่เหลือพอให้ทดแทนคุณ...
ผมรู้สึกว่า...เราจะไม่มีวันมีเวลาว่าง ถ้าเราไม่ตั้งใจจะมี
กาลเวลากำลังแยกเราจากกัน แต่ความทรงจำของการเกิดขึ้นจะลุกโชนและฝังรากลึกในสมองของผม
แม้เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้เป็นเรื่องที่มนุษย์ทุกคนต้องเจอ
แม้เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าสอนให้เราปล่อยวาง
แต่ผมก็กลัว...
มักรวมตัวกันเพื่อให้ปลายลิ้นสัมผัสกับวิสกี้ผสมโซดา ยินเสียงดนตรีบรรเลงสด ยลโฉมนารีเอวบางในยามราตรีมืดมิด ผมและเพื่อนๆสถาปัตย์จุฬาฯรุ่นที่ 60 รวมตัวกันอีกครั้งที่ซอกหลืบหนึ่งบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ชีวิตอดีตที่ถูกขุดคุ้ยขึ้นสนทนาครั้งแล้วครั้งเล่านำมาซึ่งเสียงหัวเราะ
รอยยิ้มอิ่มอาบบนใบหน้ากับรอยตีนกาที่ฉายชัด
หลังเรียนจบ ทุกๆคนต่างแยกย้ายกันไปตามวิถีทางของตน ตามโชคชะตา ตามความปราถนาของใจ . . . เรากลับมาเพื่อแลกเปลี่ยนทัศนะและถามไถ่ถึงความเป็นไปในปัจจุบัน เนื่องด้วยเราไม่เห็นหน้ากันทุกวันเหมือนสมัยเป็นนิสิต ผมไปรับของที่ผมฝากซื้อจากเพื่อนที่พึ่งกลับจากสหรัฐและถือโอกาสทักทายเพื่อนคนอื่นๆไปด้วย
“เฮ้ย! ตอนนี้มึงทำอะไรอยู่วะ”
เป็นคำนิยมที่ได้ยินกันบ่อยครั้งไม่ต่างจาก “How are you?”
เหมือนเป็นคำถามที่ไม่ได้ต้องการคำตอบที่จริงจังนัก เหมือนเป็นคำทักทายสำหรับเพื่อนที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานาน . . . มันอาจจะเป็นคำถามที่ผมไม่รู้สึกอะไรถ้าผมใช้ชีวิตไปตามวิถีปรกติของมนุษย์เ งินเดือน
“ตอนนี้กูไม่ทำอะไรเลยว่ะ”
ผมตอบเหมือนที่เคยตอบคนอื่นๆ แม้จะรู้ดีว่าสายตาสงสัยที่มองกลับมาหลังคำตอบนี้
จะเกิดขึ้นอีกครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมๆกับคำถามต่อๆไป...
บางคนคิดในใจ
บางคนเอ่ยปากถามต่อ
บางคนเข้าใจ
ขณะที่บางคนไม่สนใจ
ผมอาจจะกำลังใช้ชีวิตอยู่ที่สหรัฐอีกครั้ง ณ เวลานี้หากทุกอย่างดำเนินไปตามปรกติ
แต่วันนี้...ผมนั่งอยู่ที่นี่ ในประเทศที่ผมเกิด ในเมืองที่ผมคุ้นเคย
ผมหยุดรับงานมา 2 เดือนเต็ม ใช้ชีวิตอยู่กับป๊าอย่างเต็มที่ขณะพักฟื้นจากโรคร้ายที่เกือบคร่าชีวิตของเขาไป มาม้าที่สุขภาพไม่สู้จะแข็งแรงนักไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ แค่เพียงดูแลตัวเองให้ไม่เจ็บไม่ไข้ก็ลำบากมากเกินพอสำหรับเขาแล้ว ป๊าเริ่มหัดเดินอย่างเชื่องช้าพร้อมกับการต่อสู้กับโรคแทรกซ้อนนานาชนิด หนักบ้าง เบาบ้าง สลับกันไป
การพบเจอเพื่อนๆในครั้งนี้ของผมจึงไม่สดชื่นเหมือนครั้งก่อนๆ ผมกวาดสายตาไปรอบๆตัว นักดนตรีบรรเลงเพลงบลูส์กำลังเข้าถึงอารมณ์เพลง กรีดนิ้วลงบนสายกีต้าร์แผดเสียงที่บาดลึกถึงวิญญาณ มันเป็นเพลงเก่าที่คุ้นหูผมมานาน ความเคลื่อนไหวอลหม่านของผู้คนในร้านและเสียงสนทนาที่ดังแข่งกับเสียงดนตรี
เชื้อเชิญคนภายนอกให้เข้ามาร่วมประทับรอยตีนในร้าน แต่ยิ่งบรรยากาศคึกคักว่องไว ใจผมก็ยิ่งอ่อนแรงลงสวนทางกัน มันเป็นความครุกรุ่นห่อหุ้มความเงียบเชียบอยู่ภายใน
ผมหยุดสายตาลงที่โต๊ะด้านถัดไปจากเวทีดนตรี สงบนิ่งที่เถ้าบุหรี่บนปลายไฟขณะมันลามเลียเข้ามาจวนเจียนถึงหว่างนิ้ว เขายกมันขึ้นดูดอย่างระมัดระวังและมองมันอย่างครุ่นคิด รายรอบเขานั่งเบียดเสียดกันบนเก้าอี้ตัวเล็กไร้พนักพิง มือถือแก้ววิสกี้ทิ่พร้อมจะไหลรินเข้าสัมผัสปลายลิ้นตลอดเวลา . . .
พลันผมคิดขึ้น . . . ชีวิตก็เหมือนเถ้าบุหรี่ที่แม้จะประคับประคองอย่างระมัดระวังให้นิ่งเพียงใด เมื่อถึงเวลาก็ต้องร่วงหล่นมอดสลายลง
ผมคิดถึงป๊า . . .
“เฮ้ย มึงไม่มีงานทำ?”
ผมไม่ตอบ . . . แต่เล่าเรื่องป๊าให้เพื่อนฟัง . . .
เพื่อนที่สูญเสียพ่อไปแบบฉับพลันขณะมันใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศแสดงท่าทีเห็นใจ เข้าใจ พร้อมให้กำลังใจ
“ไม่หาเด็กมาดูแล?”
เป็นคำถามเชิงแนะนำที่ผมได้ยินบ่อยครั้งหลังคำตอบว่า . . . “ตอนนี้กูอยากอยู่กับป๊าก่อน”
คำว่า รู้คุณ กับ ทดแทนคุณ คงไม่เหมือนกันแม้จะหาข้อแตกต่างหรือคำจำกัดความที่แยกสองคำนี้ออกจากกันลำบาก การส่งเด็กจากศูนย์ Nursing care หรือพยาบาลส่วนตัวมาดูแลพ่อแม่คงเป็นเรื่อง “กตัญญู” ของมนุษย์เมืองที่มีเวลาว่างน้อยลงทุกวัน ซึ่งไม่ผิดและตำหนิไม่ได้
ผมรู้ว่าการหยุดทำงานหมายถึงการเสี่ยงต่ออนาคตระยะยาว แต่ผมไม่อยากใช้มันเป็นข้ออ้างเพราะผมกลัว...กลัวที่จะมีเวลาใช้ชีวิตใกล้ๆเขาไม่เพียงพอ หลายคนอาจบอกว่า ยังมีเวลาทดแทนคุณอีกเยอะ มีวิธีที่ทดแทนคุณได้มากมายหลายวิธีโดยไม่ต้องหยุดทำงานหรือใช้เวลาอยู่ใกล้ๆเขา โดยเฉพาะช่วงเวลาที่การงานกำลังก้าวหน้า แต่ในความเป็นจริง เวลาและโอกาสไม่เคยมีอีกเยอะ และอาจไม่เหลือพอให้ทดแทนคุณ...
ผมรู้สึกว่า...เราจะไม่มีวันมีเวลาว่าง ถ้าเราไม่ตั้งใจจะมี
กาลเวลากำลังแยกเราจากกัน แต่ความทรงจำของการเกิดขึ้นจะลุกโชนและฝังรากลึกในสมองของผม
แม้เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้เป็นเรื่องที่มนุษย์ทุกคนต้องเจอ
แม้เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าสอนให้เราปล่อยวาง
แต่ผมก็กลัว...
สังคมไทย
6
comments |
This entry was posted on November 29, 2005
หรือต่อไปเราอาจจะต้องค้นหามิตรภาพและความจริงใจกันด้วยวิธีนี้ . . .
อยากเก็บรัก (ไว้อย่างนี้)
7
comments |
This entry was posted on
ในคืนและวันที่มีแต่ความเงียบเหงา
ไม่มีแม้ดาวมีเพียงแต่ฟ้าที่มืดมน
ในใจของฉันนั้นอยากจะมีใครสักคน
อยู่คอยเป็นกำลังใจให้กันและกัน
ในคืนและวัน ที่เธอเดินเข้ามา
ในดวงตาของเธอมีความหมาย
เติมชีวิตที่อ่อนล้าให้สดใส
บอกกับใจจะมีเธอเท่านั้น
* เปรียบเธอเป็นดังดวงดาวที่พร่างพราว
สุกสกาวดั่งฟ้าที่สดใส
อยากให้เธออยู่เคียงข้างหัวใจ...ให้นาน...แสนนาน
** อยากเก็บรักไว้อย่างนี้
ต่อไปชั่วกาล...วันและคืนผ่าน...ใจฉันยังมั่นคง
ว่ายังจะรักเธออย่างนี้
ด้วยใจที่ซื่อตรง...จะยังคงอยู่เคียงข้างเธอ
(*, **)
** อยากเก็บรักไว้อย่างนี้
ต่อไปชั่วกาล...วันและคืนผ่าน...มีเธอในหัวใจ
และยังจะรักเธอคนนี้
จะรักเธอเรื่อยไป...นานเท่าไรจะยังคงรักเธอ...ไม่เปลี่ยนแปลง
--------------------------------------------------------------------------------------------------
คำร้อง : วุฒิกุล โอเจริญ, สุวพาส ดวงจิตต์งาม
ทำนอง : วุฒิกุล โอเจริญ
เรียบเรียง : ธีรภัค มณีโชติ (พี่เต็น Smile Buffalo)
ร้อง : สุวพาส ดวงจิตต์งาม
กีตาร์ : ปวินทร์ อึ้งประพันธ์, วุฒิกุล โอเจริญ
เบส : เสกสรร เล็กอุทัย
ฟรุต : ฆ้อง มงคล (YKPB band)
กลอง : ต่อตระกูล ใบเงิน (พี่คอง Sillyfool)
--------------------------------------------------------------------------------------------------
CLICK HERE TO DOWNLOAD THE SONG
ไม่มีแม้ดาวมีเพียงแต่ฟ้าที่มืดมน
ในใจของฉันนั้นอยากจะมีใครสักคน
อยู่คอยเป็นกำลังใจให้กันและกัน
ในคืนและวัน ที่เธอเดินเข้ามา
ในดวงตาของเธอมีความหมาย
เติมชีวิตที่อ่อนล้าให้สดใส
บอกกับใจจะมีเธอเท่านั้น
* เปรียบเธอเป็นดังดวงดาวที่พร่างพราว
สุกสกาวดั่งฟ้าที่สดใส
อยากให้เธออยู่เคียงข้างหัวใจ...ให้นาน...แสนนาน
** อยากเก็บรักไว้อย่างนี้
ต่อไปชั่วกาล...วันและคืนผ่าน...ใจฉันยังมั่นคง
ว่ายังจะรักเธออย่างนี้
ด้วยใจที่ซื่อตรง...จะยังคงอยู่เคียงข้างเธอ
(*, **)
** อยากเก็บรักไว้อย่างนี้
ต่อไปชั่วกาล...วันและคืนผ่าน...มีเธอในหัวใจ
และยังจะรักเธอคนนี้
จะรักเธอเรื่อยไป...นานเท่าไรจะยังคงรักเธอ...ไม่เปลี่ยนแปลง
--------------------------------------------------------------------------------------------------
คำร้อง : วุฒิกุล โอเจริญ, สุวพาส ดวงจิตต์งาม
ทำนอง : วุฒิกุล โอเจริญ
เรียบเรียง : ธีรภัค มณีโชติ (พี่เต็น Smile Buffalo)
ร้อง : สุวพาส ดวงจิตต์งาม
กีตาร์ : ปวินทร์ อึ้งประพันธ์, วุฒิกุล โอเจริญ
เบส : เสกสรร เล็กอุทัย
ฟรุต : ฆ้อง มงคล (YKPB band)
กลอง : ต่อตระกูล ใบเงิน (พี่คอง Sillyfool)
--------------------------------------------------------------------------------------------------
CLICK HERE TO DOWNLOAD THE SONG
Purpose
6
comments |
This entry was posted on November 23, 2005
สมศักดิ์ logon เข้าไป Chat ...
สมเกียรติ logon เข้าไปส่ง project ...
สมเกียรติ logon เข้าไปส่ง project ...
ดื่มนมเยอะเยอะ ร่างกายแข็งแรง
12
comments |
This entry was posted on November 13, 2005
..........................ดื่มอะไรไม่สู้......................ดื่มนม
..........................นมกลิ่นหอมชวนดม............แน่นเนื้อ
.........................เยอะมากหากอ้วนกลม.........เหนื่อยง่าย
.........................เยอะรสซดหัวเชื้อ...............อิ่มแล้วพุงกาง
.........................ร่างรูปซูบตอบแห้ง..............เอนเอียง
.........................กายล่ำกล้ามเนื้อเรียง............เด่นล้ำ
.........................แข็งแรงให้พอเพียง............ปลอดโรค
.........................แรงฤทธิ์ย้ำดื่มซ้ำ................หมดแก้วโตไว
..........................นมกลิ่นหอมชวนดม............แน่นเนื้อ
.........................เยอะมากหากอ้วนกลม.........เหนื่อยง่าย
.........................เยอะรสซดหัวเชื้อ...............อิ่มแล้วพุงกาง
.........................ร่างรูปซูบตอบแห้ง..............เอนเอียง
.........................กายล่ำกล้ามเนื้อเรียง............เด่นล้ำ
.........................แข็งแรงให้พอเพียง............ปลอดโรค
.........................แรงฤทธิ์ย้ำดื่มซ้ำ................หมดแก้วโตไว
Caramel Frappucio
12
comments |
This entry was posted on November 10, 2005
หย่อนตูดลงบนเก้าอี้ผ้าหนานุ่มสบาย แก้วพลาสติกใสทรงสูงในมือบรรจุกาแฟคั่วบดปั่น คาราเมลบนครีมขาวเหนือชั้นกาแฟส่งกลิ่นหอมเชิญชวน นวลไฟสีเหลืองอ่อนโอบกอดความสดชื่นในยามเช้า หุ้มห่อความอบอุ่นยามค่ำคืน แสงป้ายนีออนรูปสัญลักษณ์ของสินค้าทรงกลมสีเขียวสว่างสดใสสะดุดตา เสียงดนตรี jazz คลอเคล้าอารมณ์ สร้างบรรยากาศผ่อนคลาย
รู้ทั้งรู้ว่าที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับกาแฟรสเลิศ
รู้ทั้งรู้ว่าที่นี่เป็นสถานที่สิ้นเปลือง
รู้ทั้งรู้ว่าที่นี่ไม่ใช่ที่เงียบสงบสำหรับการนั่งทำงาน
รู้ทั้งรู้ว่าที่นี่สร้างกระแสนิยมที่คนบางกลุ่มคิดว่านั่งแล้วเท่ห์ ดูดีมีชาติตระกูล ซึ่งมันไม่เท่ห์หรอกผมก็รู้
แต่ผมก็นิยมผ่านเวลาชีวิตของผมที่นี่บ่อยครั้งเป็นเวลานานๆ ไม่ว่าฟ้าเบื้องบนจะส่องสว่าง ครึ้มฝน หรือมืดสนิท
กระแสทุนนิยมที่แทรกตัวเข้าสู่ชีวิตเมืองทำให้ “เรา” ลืมหรือหนีจากรากฐานของการใช้ชีวิตแบบพอเพียงอย่างที่พ่อตรัสไปสู่การใช้ชีวิต
ที่โอบล้อมไปด้วยอุปสงค์อุปทานจอมปลอม
. . .“เรา”หมายรวมถึงผมด้วย . . .โดยเฉพาะการใช้ชีวิตสันโดษของผมที่อเมริกา
บ่อยครั้งที่ผมเลือกกำจัดเม็ดเงินของผมที่นี่มากกว่าร้านอาหารทั่วไปทั้งๆที่รู้ว่า
ค่าครองชีพที่นั่นสูงกว่าบ้านเรามากและผมควรจะใช้จ่ายให้คุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป
ทุกครั้งที่ผ่านสาขาของร้านนี้ในเมืองไทย แลเห็นจำนวนลูกค้าที่เข้าไปอุดหนุนร้านแล้ว คนหนุ่มสาวหลายคนก็คงคิดและทำไม่ต่างจากที่ผมเคยทำที่นั่น เห็นลูกค้ามากมายเข้าไปอุดหนุนเครื่องดื่มราคาสูงที่นี่แล้วผมต้องย้อนคิดถึงตัวเองสมัยอยู่อเมริกาทุกครั้งไป
มือข้างหนึ่งจับปากกาด้ามโปรดขีดเขียนภาพ ข้อความ จัดเรียงข้อมูลสำหรับงานวิทยานิพนธ์ ขณะมืออีกข้างลูบไล้ถ้วยพลาสติกใสได้ความรู้สึกถึงไอเย็น ผมหย่อนตูดลงที่นี่เนิ่นนานจนเลยเวลาของอาหารมื้อเย็นโดยไม่แยแสและไม่มีความคิดที่จะกลับบ้าน
ผมรู้ว่าผมตกอยู่ในกระแสนิยมเข้าเต็มที่ หลายครั้งที่ผมเลยเถิดคิดไปถึงสารเสพติดที่อยู่ในเครื่องดื่มซึ่งนำผมมาผ่านเวลาชีวิตและกำจัดเม็ดเงินที่นี่ อีกหลายครั้งที่ผมต้องหิ้วท้องกลับบ้านด้วยความหิวโหยแล้วจบลงที่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
“ทำไมไม่เอาเงินไปซื้ออาหารวะ” ผมคิดขณะต้มบะหมี่ด้วยความหิว
ไร้รอยยิ้มรื่นเริงบนใบหน้าเหมือนเมื่อครู่ที่ยังอยู่ในร้าน ผมรู้ดีว่าค่ากาแฟและบราวนี่เมื่อครู่ซื้ออาหารจานโตได้ซึ่งขนาดของอาหารหนึ่งจานที่นั่น สามารถเลี้ยงชีพได้ 2 มื้อสบายๆ
. . .ไม่ต้องเตรียมอาหาร . . .ไม่ต้องทำอาหารเอง . . . ไม่ต้องล้างถ้วยล้างจาน
ด้วยความที่นอนน้อย พักผ่อนไม่พอ กอรปกับการดื่มกาแฟเย็นปั่นที่เย็นจัดตัดกับใจที่ร้อนรน ใบหน้าผมเริ่มย่นเกร็ง มันเย็นจนเสียดแทงเหมือนจะเข้าไปปลิดวิญญาณ บาดลึกเข้าไปถึงกลางกระโหลก พลันความรู้สึกปวดหัวเข้าแทนที่ความหิวขณะกระเทียมเจียว และผักโรยถูกราดและโปรยลงในชามบะหมี่หน้าเตาร้อน
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปถูกคีบเข้าสู่ปากอย่างรีบร้อน ยินเสียงหัวใจเต้นอย่างชัดเจน ดังขึ้นและดังขึ้นเป็นระยะ แข่งกับเสียงเครื่องปรับอากาศตัวเก่าที่ยังทำงานตามปรกติ เหงื่อกาฬผุดขึ้นเต็มแผ่นหลัง เท้าทั้งสองเริ่มชาเหมือนจะเป็นไข้ เสียงดนตรี jazz ภายในห้องไม่สร้างบรรยากาศผ่อนคลายเหมือนในร้าน
พึมพำ “ยัง . . . ยังนอนไม่ได้ . . . เดี๋ยวแดกเสร็จต้องล้างจานอีก”
ผมนึกถึงร้านอาหารจีนราคาเท่าๆกับกาแฟเย็นปั่นแก้วนั้น นึกถึงอาหารและเครื่องดื่มสุขภาพที่ควรจับจ่าย
“โอย . . . พรุ่งนี้ กูจะเลิกแดกแม่งแล้ว แพงฉิบหาย เสียเงินแล้วยังปวดหัวอีก”
นึกถึงช่วงเดินถนนผ่านร้านนี้ทุกครั้ง ผมสาบานว่าจะไม่เข้าไปกำจัดเม็ดเงินของผมที่นี่อีก
อึดใจต่อมาหลังจัดการถ้วยชามจนเรียบร้อย ร่างที่อ่อนเพลียก็ทรุดลงที่ฟูกเก่าและหมอนใบเก่ง ตั้งใจว่าจะของีบหลับสักระยะและจะตื่นขึ้นมาเขียนวิทยานิพนธ์ต่อ . . .
อาทิตย์สาดส่องยามบ่ายเพิ่มอุณหภูมิในห้องให้ร้อนและปลุกผมให้ตื่นขึ้นอีกครั้งในบ่ายวันรุ่งขึ้น ผมสะดุ้งตื่นและรีบจัดแจงทำธุระส่วนตัวก่อนออกไปพบที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ที่ห้องสมุด
ตะวันลับขอบฟ้าอย่างรวดเร็วในบ่ายนั้น เวลาตลอดช่วงบ่ายถูกใช้ไปกับการเข้าพบที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ เสนอและรับฟังข้อคิดเพื่อนำกลับมาแก้ไข แล้วจากห้องสมุดมาพร้อมคำถามและมุมมองที่แตกต่างยามตะวันโพล้เพล้
ผมเดินกลับบ้านที่ถนนสายเดิม . . . สายนั้น . . . ถนนที่ร้านนั้นเปิดต้อนรับอยู่ ผมยังจำภาพของวันวานได้ดี ผมรู้ว่ามันไม่ใช่ความฝัน ผมจำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกคำพูด
ขณะเดินมาถึงบริเวณร้าน ผมถอนหายใจ ก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ยินเสียงดนตรี Jazz ลอดออกทางประตูเมื่อลูกค้าในร้านผลักบานประตูให้เปิดออก ผมยังจำความรู้สึกนั้นได้ดี. . .
เสียงเพลงดังขึ้นและดังขึ้น . . .
ผมเบือนหน้าหนีหลบสายตาจากป้ายร้าน รายการเครื่องดื่ม และข้อความชวนเชื่อ
ล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกง . . .
เอ่ยปากขึ้น . . .
“Excuse me…Can I have a venti Caramel Frappucino?”
รู้ทั้งรู้ว่าที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับกาแฟรสเลิศ
รู้ทั้งรู้ว่าที่นี่เป็นสถานที่สิ้นเปลือง
รู้ทั้งรู้ว่าที่นี่ไม่ใช่ที่เงียบสงบสำหรับการนั่งทำงาน
รู้ทั้งรู้ว่าที่นี่สร้างกระแสนิยมที่คนบางกลุ่มคิดว่านั่งแล้วเท่ห์ ดูดีมีชาติตระกูล ซึ่งมันไม่เท่ห์หรอกผมก็รู้
แต่ผมก็นิยมผ่านเวลาชีวิตของผมที่นี่บ่อยครั้งเป็นเวลานานๆ ไม่ว่าฟ้าเบื้องบนจะส่องสว่าง ครึ้มฝน หรือมืดสนิท
กระแสทุนนิยมที่แทรกตัวเข้าสู่ชีวิตเมืองทำให้ “เรา” ลืมหรือหนีจากรากฐานของการใช้ชีวิตแบบพอเพียงอย่างที่พ่อตรัสไปสู่การใช้ชีวิต
ที่โอบล้อมไปด้วยอุปสงค์อุปทานจอมปลอม
. . .“เรา”หมายรวมถึงผมด้วย . . .โดยเฉพาะการใช้ชีวิตสันโดษของผมที่อเมริกา
บ่อยครั้งที่ผมเลือกกำจัดเม็ดเงินของผมที่นี่มากกว่าร้านอาหารทั่วไปทั้งๆที่รู้ว่า
ค่าครองชีพที่นั่นสูงกว่าบ้านเรามากและผมควรจะใช้จ่ายให้คุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป
ทุกครั้งที่ผ่านสาขาของร้านนี้ในเมืองไทย แลเห็นจำนวนลูกค้าที่เข้าไปอุดหนุนร้านแล้ว คนหนุ่มสาวหลายคนก็คงคิดและทำไม่ต่างจากที่ผมเคยทำที่นั่น เห็นลูกค้ามากมายเข้าไปอุดหนุนเครื่องดื่มราคาสูงที่นี่แล้วผมต้องย้อนคิดถึงตัวเองสมัยอยู่อเมริกาทุกครั้งไป
มือข้างหนึ่งจับปากกาด้ามโปรดขีดเขียนภาพ ข้อความ จัดเรียงข้อมูลสำหรับงานวิทยานิพนธ์ ขณะมืออีกข้างลูบไล้ถ้วยพลาสติกใสได้ความรู้สึกถึงไอเย็น ผมหย่อนตูดลงที่นี่เนิ่นนานจนเลยเวลาของอาหารมื้อเย็นโดยไม่แยแสและไม่มีความคิดที่จะกลับบ้าน
ผมรู้ว่าผมตกอยู่ในกระแสนิยมเข้าเต็มที่ หลายครั้งที่ผมเลยเถิดคิดไปถึงสารเสพติดที่อยู่ในเครื่องดื่มซึ่งนำผมมาผ่านเวลาชีวิตและกำจัดเม็ดเงินที่นี่ อีกหลายครั้งที่ผมต้องหิ้วท้องกลับบ้านด้วยความหิวโหยแล้วจบลงที่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
“ทำไมไม่เอาเงินไปซื้ออาหารวะ” ผมคิดขณะต้มบะหมี่ด้วยความหิว
ไร้รอยยิ้มรื่นเริงบนใบหน้าเหมือนเมื่อครู่ที่ยังอยู่ในร้าน ผมรู้ดีว่าค่ากาแฟและบราวนี่เมื่อครู่ซื้ออาหารจานโตได้ซึ่งขนาดของอาหารหนึ่งจานที่นั่น สามารถเลี้ยงชีพได้ 2 มื้อสบายๆ
. . .ไม่ต้องเตรียมอาหาร . . .ไม่ต้องทำอาหารเอง . . . ไม่ต้องล้างถ้วยล้างจาน
ด้วยความที่นอนน้อย พักผ่อนไม่พอ กอรปกับการดื่มกาแฟเย็นปั่นที่เย็นจัดตัดกับใจที่ร้อนรน ใบหน้าผมเริ่มย่นเกร็ง มันเย็นจนเสียดแทงเหมือนจะเข้าไปปลิดวิญญาณ บาดลึกเข้าไปถึงกลางกระโหลก พลันความรู้สึกปวดหัวเข้าแทนที่ความหิวขณะกระเทียมเจียว และผักโรยถูกราดและโปรยลงในชามบะหมี่หน้าเตาร้อน
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปถูกคีบเข้าสู่ปากอย่างรีบร้อน ยินเสียงหัวใจเต้นอย่างชัดเจน ดังขึ้นและดังขึ้นเป็นระยะ แข่งกับเสียงเครื่องปรับอากาศตัวเก่าที่ยังทำงานตามปรกติ เหงื่อกาฬผุดขึ้นเต็มแผ่นหลัง เท้าทั้งสองเริ่มชาเหมือนจะเป็นไข้ เสียงดนตรี jazz ภายในห้องไม่สร้างบรรยากาศผ่อนคลายเหมือนในร้าน
พึมพำ “ยัง . . . ยังนอนไม่ได้ . . . เดี๋ยวแดกเสร็จต้องล้างจานอีก”
ผมนึกถึงร้านอาหารจีนราคาเท่าๆกับกาแฟเย็นปั่นแก้วนั้น นึกถึงอาหารและเครื่องดื่มสุขภาพที่ควรจับจ่าย
“โอย . . . พรุ่งนี้ กูจะเลิกแดกแม่งแล้ว แพงฉิบหาย เสียเงินแล้วยังปวดหัวอีก”
นึกถึงช่วงเดินถนนผ่านร้านนี้ทุกครั้ง ผมสาบานว่าจะไม่เข้าไปกำจัดเม็ดเงินของผมที่นี่อีก
อึดใจต่อมาหลังจัดการถ้วยชามจนเรียบร้อย ร่างที่อ่อนเพลียก็ทรุดลงที่ฟูกเก่าและหมอนใบเก่ง ตั้งใจว่าจะของีบหลับสักระยะและจะตื่นขึ้นมาเขียนวิทยานิพนธ์ต่อ . . .
อาทิตย์สาดส่องยามบ่ายเพิ่มอุณหภูมิในห้องให้ร้อนและปลุกผมให้ตื่นขึ้นอีกครั้งในบ่ายวันรุ่งขึ้น ผมสะดุ้งตื่นและรีบจัดแจงทำธุระส่วนตัวก่อนออกไปพบที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ที่ห้องสมุด
ตะวันลับขอบฟ้าอย่างรวดเร็วในบ่ายนั้น เวลาตลอดช่วงบ่ายถูกใช้ไปกับการเข้าพบที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ เสนอและรับฟังข้อคิดเพื่อนำกลับมาแก้ไข แล้วจากห้องสมุดมาพร้อมคำถามและมุมมองที่แตกต่างยามตะวันโพล้เพล้
ผมเดินกลับบ้านที่ถนนสายเดิม . . . สายนั้น . . . ถนนที่ร้านนั้นเปิดต้อนรับอยู่ ผมยังจำภาพของวันวานได้ดี ผมรู้ว่ามันไม่ใช่ความฝัน ผมจำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกคำพูด
ขณะเดินมาถึงบริเวณร้าน ผมถอนหายใจ ก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ยินเสียงดนตรี Jazz ลอดออกทางประตูเมื่อลูกค้าในร้านผลักบานประตูให้เปิดออก ผมยังจำความรู้สึกนั้นได้ดี. . .
เสียงเพลงดังขึ้นและดังขึ้น . . .
ผมเบือนหน้าหนีหลบสายตาจากป้ายร้าน รายการเครื่องดื่ม และข้อความชวนเชื่อ
ล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกง . . .
เอ่ยปากขึ้น . . .
“Excuse me…Can I have a venti Caramel Frappucino?”
เขียนภาพบันทึก รำลึกความหลัง
11
comments |
This entry was posted on November 6, 2005
..................เขียนชีวิตก่อนนี้....................ช่วยจำ
..................ภาพเมื่อครั้งเก่านำ................กล่าวย้อน
..................บันทึกแต่งแต้มทำ.................ตามแต่ เหตุนา
..................ทึกทักใจรุ่มร้อน....................ล่วงรู้ความจริง
..................รำเพยรำพร่ำเพ้อ...................พรรณนา
..................ลึกที่สุดเขียนมา.....................เกริ่นไว้
..................ความหลังเมื่อผ่านตา.............ย้อนอ่าน
..................หลังเหตุการณ์ผ่านไซร้ ..........อ่านแล้วสุขใจ
..................ภาพเมื่อครั้งเก่านำ................กล่าวย้อน
..................บันทึกแต่งแต้มทำ.................ตามแต่ เหตุนา
..................ทึกทักใจรุ่มร้อน....................ล่วงรู้ความจริง
..................รำเพยรำพร่ำเพ้อ...................พรรณนา
..................ลึกที่สุดเขียนมา.....................เกริ่นไว้
..................ความหลังเมื่อผ่านตา.............ย้อนอ่าน
..................หลังเหตุการณ์ผ่านไซร้ ..........อ่านแล้วสุขใจ
เพื่อนสนิท (สิ่งไร้ชีวิตที่มีชีวิต 2)
5
comments |
This entry was posted on October 26, 2005
เมื่อเรามองสิ่งรอบๆตัวด้วยหัวใจนึกสนุก
ด้วยหัวใจศิลปะที่มีอยู่ในมนุษย์ทุกๆคน
ด้วยเหตุผลที่อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์
สิ่งต่างๆรอบๆตัวเราก็มีสีสัน มีเรื่องราว
เป็นการมองที่อยู่นอกเหนือเหตุผล และแต่ละคนมองไม่เหมือนกัน
บางคนเรียกมันว่า ความทรงจำ
บ้างว่า ความผูกพันธ์ ความหลัง หรือ ความชอบ . . .
บางคนอาจบอกว่า เพลงบางเพลง ฟังครั้งแรกก็รู้สึกว่ามัน "มีชีวิต"
หนังสือบางเล่ม หนังบางเรื่อง ภาพบางรูป หรือแม้กระทั่งบทความบางบท
มันมีชีวิต. . .
เช่นกัน เพื่อนของเราอาจบอกกับเราว่า
คำสร้อยนี่ร้องเพลงไม่ได้เรื่องเลย ท่าทางแข็งทื่อ ไม่มีลีลา
ไม่มีชีวิตเอาเสียเลย . . .
ณ.เวลานั้น คำสร้อย สิ่งมีชีวิตที่หายใจได้ตามหลักวิทยาศาสตร์
ก็กลายเป็นสิ่งไร้ชีวิตไปในสายตาของเพื่อนเรา
ไม่มีผิด ไม่มีถูกครับ . . . กับความรู้สึกถึงความมีชีวิตและไม่มีชีวิตแบบนี้
พูดถึงสิ่งไร้ชีวิตที่มีชีวิตรอบๆตัวผมแล้ว
ผมมีเพื่อนสนิทอยู่ 3 คนที่เดินทางไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอๆ . . .
ต่างคน ต่างที่มา ต่าง style และต่างวัย
คนแรกมาจาก Germany . . . เป็นเพื่อนรุ่นพ่อที่ผมควรจะเรียกว่า
อาเจ็ก(สนิท) มากกว่า เพื่อน(สนิท)
อาเจ็ก(สนิท) มากกว่า เพื่อน(สนิท)
เพราะแกมาสนิทกับครอบครัวผมตั้งแต่ก่อนผมเกิด
แกสนิทสนมกับป๊าและร่วมทุกร่วมสุขกันมายาวนานกว่า 30 ปี
ผมกับป๊ารักแกมาก . . . ผูกพันธ์กับแกมานาน
ตั้งแต่ป๊ายังหนุ่มๆ อยู่ในวัยทำงาน
ป๊าบอกว่าป๊ารู้จักแกเพราะ boss ของป๊า import แกมาจาก Germany
แล้วแนะนำให้ป๊ารู้จัก . . . สบโอกาส ป๊า ก็ไปตีสนิทแกและชวนแกมาอยู่ที่บ้าน
แล้วแนะนำให้ป๊ารู้จัก . . . สบโอกาส ป๊า ก็ไปตีสนิทแกและชวนแกมาอยู่ที่บ้าน
บางคนว่าแกน่ารัก บางคนว่าตลก บางคนว่าแก classic และหลงใหลในเสน่ห์ของแกจนถอนตัวไม่ขึ้น สำหรับผม . . . แกเท่ห์ไม่หยอก
ตั้งแต่ผมได้รู้จักแกมาจนถึงทุกวันนี้ ผมก็ยังรู้สึกว่าแกดูดีไม่เคยเปลี่ยน ไม่เชย และไม่ตกยุค
แกเป็นคนแข็งแรง ไม่เรื่องมาก กินน้อย และอดทน
ไปไหน ไปกัน กับป๊าตลอด . . . จนเมื่อป๊าอายุมากขึ้น
ผมก็ได้มาสมบุกสมบันกับแกต่อ แบบไม่มีทีท่าว่าแกจะเหนื่อย
วันนี้...ป๊าและผมลุยต่อไปกับแกไม่ไหวด้วยสังขารของ "ขา" และ "น่อง" เราเองที่มากขึ้น เมื่อยขึ้น
เราจึงขอให้แกพักผ่อนอยู่ที่บ้านมากกว่าจะให้ออกไปลุยข้างนอกเหมือนก่อน
เพราะเราลุยต่อไปกับแกไม่ไหว ทั้งที่แกก็พร้อมลุยอยู่เสมอ จนเด็กรุ่นหลังๆยังอาย
เราจึงขอให้แกพักผ่อนอยู่ที่บ้านมากกว่าจะให้ออกไปลุยข้างนอกเหมือนก่อน
เพราะเราลุยต่อไปกับแกไม่ไหว ทั้งที่แกก็พร้อมลุยอยู่เสมอ จนเด็กรุ่นหลังๆยังอาย
หลายครั้งที่เคยจะให้แกไปสนิท ไปลุย กับคนอื่น แต่ก็ด้วยความผูกพันธ์ ทำให้เราทำใจไม่ได้สักที
ป๊าบอกผมว่า อยากให้แกอยู่กับเราไปตลอด แม้ว่าแกจะนอนอยู่เฉยๆก็ไม่เป็นไร
นานๆผมก็ชวนแกออกมารับลม เติมไฟกันบ้างเป็นระยะๆ . . . เห็นแกทีไรผมก็รู้สึกชื่นใจและคิดถึงวันเก่าๆเสมอๆ
- - - - - - - - - - - - -
เพื่อนคนที่สองเป็นคนอเมริกันแท้ หน้าตาเคร่งขรึม ผิวสีดำน่าเกรงขาม
ผมมีโอกาสได้รู้จักเขาที่สหรัฐอเมริกา ในช่วงที่ผมไปใช้ชีวิตที่นั่น
เขาเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวของผมที่นั่นที่อยู่เคียงข้างกันตลอดเวลา
ผมพบเขาที่ Savannah, GA ในสภาพที่ไม่ค่อยแข็งแรงนัก
ด้วยความที่เขาเป็นคนไม่ฟุ่มเฟือย สบายๆ จิตใจกว้างขวาง
ผมเลยตีสนิทเขาและชวนเขามาอยู่ด้วย . . . แล้วเราก็สนิทกันตลอด 4 ปี
เขาเป็นคนกินจุ และมีสุขภาพที่ไม่สู้จะแข็งแรงนัก
ค่ารักษาพยาบาลของเขาที่นั่นก็ทำเอาผมสะอึกอยู่หลายสัปดาห์
(ก็ค่าแรงที่นั่นมันแพงบาดใจเหลือเกิน)
(ก็ค่าแรงที่นั่นมันแพงบาดใจเหลือเกิน)
แต่ขึ้นชื่อว่าเพื่อนสนิทแล้วก็ทิ้งกันไม่ลง . . . เมื่อผมย้ายมาอยู่ SantaMonica
เขาก็ร่วมเดินทางมากับผมด้วย . . . ก็ได้เขานี่ล่ะที่พาผมท่องเที่ยวฝั่ง West Coast อย่างสนุกสนาน
ใครบินมาลง LAX ก็ได้เขานี่ล่ะที่ไปต้อนรับขับสู้พร้อมๆกับผม
เสียดายที่เราต้องแยกจากกันเมื่อผมเดินทางกลับไทย
ใครบินมาลง LAX ก็ได้เขานี่ล่ะที่ไปต้อนรับขับสู้พร้อมๆกับผม
เสียดายที่เราต้องแยกจากกันเมื่อผมเดินทางกลับไทย
ไม่มีเขา . . . ชีวิตผมที่อเมริกาคงลำบากขึ้นอีกมากมาย
- - - - - - - - - - - - -
คนที่สามเป็นชาวญี่ปุ่น หน้าตาหงุดหงิด ดูเคร่งขรึม
ตัวป้อมหลังค่อม แต่ทมัดทะแมง แคล่วคล่องว่องไวในเมืองหลวง
ผมพึ่งรู้จักเขาหลังจากกลับมาจากสหรัฐ
แม้ว่าเขาจะดูบอบบาง ไม่เหมือนชาว Europe
แต่เขากลับมีกำลังในการขนย้าย ถ่ายของจำนวนมากอย่างไม่น่าเชื่อ . . . ช่วยให้ชีวิตผมสะดวกขึ้นอีกมาก . . . คนไทยหลายคนชอบเขาเพราะเขาเป็นคนที่ทานน้อย ไม่สิ้นเปลือง ลูกเล่นเยอะ
ช่างแต่งตัว และมีหลาย style ในตัวเอง
ช่วงแรกๆ ผมไม่ค่อยถูกชะตากับเขาเท่าไหร่ แต่ยิ่งนานวันผมก็ยิ่งสนิทกับเขามากขึ้นแบบที่ผมเองก็แปลกใจ ทุกวันนี้เลยไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด
เพื่อนผมทั้ง 3 คนนี้ไม่เรื่องมากและไม่ไฮโซ เราจึงคบกันได้แบบสบายๆและกันเอง
ก็เพราะถ้าเขาไฮโซอย่างชาว "ดาวสามแฉก", "สี่ห่วง" หรือ "ใบพัดสีน้ำเงิน" ผมก็คงไม่มีปัญญาจะไปไหนมาไหนกับพวกเขาแน่ๆ
สำหรับผมแล้ว เขาทั้ง 3 เป็นเพื่อนสนิทที่ผมไว้ใจได้
เพื่อนสนิท . . . หรือที่ใครหลายๆคนนิยมเรียกเขาว่าเพื่อนร่วมทาง
คงเป็นเพื่อนกันตลอดไป แม้ว่าจะมีห่างหายกันไปบ้างตามวัยและกาลเวลา
แต่มิตรภาพและความผูกพันธ์กับเพื่อนเหล่านี้ยังคงอยู่กับผมตลอดไป
อย่าลืมดูแลเพื่อนสนิทของคุณให้ดีนะครับ . . .
สิ่งไร้ชีวิตที่มีชีวิต
11
comments |
This entry was posted on October 20, 2005
สมัยเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ตอนเด็กๆ เรื่องพื้นฐานที่ถูกกล่าวถึงในบทเรียนมากเป็นอันดับต้นๆคือเรื่อง "สิ่งมีชีวิตกับสิ่งไม่มีชีวิต"
โดย criteria ในการแบ่งอย่างง่ายๆคือดูจากการหายใจ
หมู หมา ลา เป็ด ป้าแช่ม ลุงย้อย โซ้ยโกว
เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตเพราะมีการหายใจ
เช่นกัน hotmail รถยนต์ blogspot โทรศัพท์ ไม้ขีดไฟ รองเท้าแตะ
ก็เรียกว่าเป็นสิ่งไม่มีชีวิตเพราะไม่ต้องหายใจ
แต่เมื่อโตขึ้นและสนใจศิลปะ . . . ผมก็เริ่มรู้สึกว่า
นอกจากเหตุผลทางวิทยาศาสตร์แล้ว
มนุษย์ยังแยกความแตกต่างของ "สิ่งมีชีวิตกับสิ่งไม่มีชีวิต"
ด้วยอารมณ์ความรู้สึกอีกด้วย
เมื่อเกณฑ์ในการมองเปิดกว้างขึ้น
แต่ละคนก็เติมสีสันในการแยกแยะความแตกต่าง
ไปตามมุมมอง ตามประสบการณ์ ซึ่งเป็นการมองที่อยู่นอกเหนือ
หลักและเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์
มองอย่างนี้แล้วทำให้เห็นชีวิตในสิ่งไม่มีชีวิตรอบๆตัว
โดยเฉพาะสิ่งไม่มีชีวิตที่เรามีความผูกพันธ์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
และไอ้ความรู้สึกถึงความมีชีวิตอะไรบางอย่างนี่ล่ะ ที่ทำให้ผมบันทึกภาพแผ่นไร้ชีวิตนี้ไว้
เพราะผม . . . เห็นชีวิตของผมในนั้น
เพราะผม . . . เห็นชีวิตของผมในนั้น
1 คัน
2 ทะเบียน
1 ประเทศ
2 ฝั่ง(East and West coast)
3 เมือง (Savannah, Santa Monica, Venice)
1 โรงเรียน
1 สตูดิโอ
4 ปี
ดนตรี
6
comments |
This entry was posted on October 18, 2005
"ชนใดไม่มีดนตรีกาล ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก
อีกใครฟังดนตรีไม่เห็นเพราะ เขานั้นเหมาะคิดขบถอัปลักษณ์"
ipod mini silver
Santa Monica, CA
June, 2004
อีกใครฟังดนตรีไม่เห็นเพราะ เขานั้นเหมาะคิดขบถอัปลักษณ์"
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ipod mini silver
Santa Monica, CA
June, 2004
JWTsaver
6
comments |
This entry was posted on October 16, 2005
JWTsaver > the JWT screensaver
date : Aug 2005
designed : v74
concept : Hold my sketchboard while i kiss your girlfriend
action script source : Joshua Davis
action script advisor : X-Sense
date : Aug 2005
designed : v74
concept : Hold my sketchboard while i kiss your girlfriend
action script source : Joshua Davis
action script advisor : X-Sense
ชลบุรี (ที่ 12 เดือน 10)
10
comments |
This entry was posted on October 12, 2005
การสำรวมใจให้สงบ ให้จิตนิ่ง ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปวัดเพื่อสักการะบูชา
ไม่จำเป็นต้องสวดมนต์ นั่งสมาธิในบรรยากาศที่เงียบสงบ
ไม่จำเป็นต้องอยู่บนสนามหญ้าเขียวขจีในสวนธรรมชาติ
การสำรวมใจให้สงบอาจเกิดจากการมองเพียงไม้ที่ผลัดใบจากลำต้นสู่พื้น
มองความเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง เห็นและเข้าใจถึงความจริง
หมูสะเต๊ะร้านเก่ารสคุ้นลิ้น
สามล้อถีบกับสามล้อเครื่อง
อิตาลีที่หน้าเก๋ง
หมึกหอมเหนียวนุ่มรสชุ่มปาก
ร้านโชว์ห่วยและซูเปอร์สโตร์
สำหรับคนที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยมลพิษ
ด้วยวัยที่เพิ่มขึ้น พร้อมๆกับหน้าที่การงานและความรับผิดชอบ
พื้นที่สำหรับสำรวมใจให้สงบเห็นจะมีน้อยลงทุกวัน
ชีวิตที่เร่งรีบของคนเมืองทำให้หลายคนลืมหรือมองข้ามการดูแลใจของตนเอง
ผมกลับไปเยี่ยมอาม่าและหน้าเก๋งอีกครั้ง . . . ด้วยหัวใจที่สงบ
ไม่จำเป็นต้องสวดมนต์ นั่งสมาธิในบรรยากาศที่เงียบสงบ
ไม่จำเป็นต้องอยู่บนสนามหญ้าเขียวขจีในสวนธรรมชาติ
การสำรวมใจให้สงบอาจเกิดจากการมองเพียงไม้ที่ผลัดใบจากลำต้นสู่พื้น
มองความเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง เห็นและเข้าใจถึงความจริง
หมูสะเต๊ะร้านเก่ารสคุ้นลิ้น
สามล้อถีบกับสามล้อเครื่อง
อิตาลีที่หน้าเก๋ง
หมึกหอมเหนียวนุ่มรสชุ่มปาก
ร้านโชว์ห่วยและซูเปอร์สโตร์
สำหรับคนที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยมลพิษ
ด้วยวัยที่เพิ่มขึ้น พร้อมๆกับหน้าที่การงานและความรับผิดชอบ
พื้นที่สำหรับสำรวมใจให้สงบเห็นจะมีน้อยลงทุกวัน
ชีวิตที่เร่งรีบของคนเมืองทำให้หลายคนลืมหรือมองข้ามการดูแลใจของตนเอง
ผมกลับไปเยี่ยมอาม่าและหน้าเก๋งอีกครั้ง . . . ด้วยหัวใจที่สงบ
พ่อครัวจำเป็น
17
comments |
This entry was posted on September 30, 2005
เคยเข้าครัวกันไหมครับ?
ถ้าคุณ . . .
- ชอบทานอาหาร
- มีอายุ 15 ขวบขึ้นไป
- เป็นผู้หญิง
การเข้าครัวคงเป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตของคุณ ไม่ว่าจะด้วยความจำเป็นหรือเป็นหน้าที่ . . . พูดถึงการเข้าครัวผมมักจะคิดถึงผู้หญิงก่อนผู้ชาย ทั้งๆที่ Chef เก่งๆมากมายที่ผมเห็นตามรายการโทรทัศน์ทั้งไทยและเทศนั้นล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชายทั้งนั้น
หัวหน้า chef ตามโรงแรมหรูหรือนักชิมเลื่องชื่อก็ผู้ชายเช่นกัน
คงเป็นเพราะผมโตมากับครอบครัวที่มี"แม่"เป็นคนทำอาหารกระมัง. . .จึงคิดถึงผู้หญิงก่อน
มาม้าผมดูแลเรื่องอาหารการกินทุกๆมื้อเย็นสมัยที่ยังทำงานอยู่ . . . เหมือนเป็นสูตรสำเร็จ
ของหลายๆบ้านคือ เวลาเข้าครัวผมไม่มีสิทธิ์หรือโอกาสใดๆแม้แต่จะเป็นลูกมือ
แค่ไปยืนดูมาม้าทำอาหารยังแทบไม่ได้เลย . . . มันเกะกะ
ยิ่งผมเป็นเด็กผู้ชายวัยซนด้วยยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ตะหลิว ครก หรือเขียง อย่าหวังจะได้จับ
ในวัยเด็กที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากลอง ผมมักโดนดุเป็นประจำที่เข้าไปทำตัวเกะกะในครัวเสมอๆเวลาที่มาม้าเข้าครัวทำอาหาร . . . เมื่อบ่อยครั้งเข้า ความอยากรู้จึงเริ่มลดและหดหายไปเนื่องด้วยไม่อยากโดนดุและเป็นตัวปัญหาอีก จึงไม่น่าแปลกอะไรถ้าผมจะไม่รู้เรื่องการเข้าครัวเลย
ที่บ้านของคุณมีสูตรสำเร็จแบบนี้เหมือนกันไหมครับ?
จนกระทั่งถึงช่วงเวลาที่ผมต้องเดินทางข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกไปยังฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกา เป็นอีกบทของการเดินทางในโลกกว้าง ต้องอยู่ด้วยตัวเอง เอาตัวรอดและดูแลชีวิตตัวเองทั้งหมด . . . ผมจึงมีโอกาสได้เข้าครัว
สำหรับชีวิตของผมที่นั่น . . . ถ้าไม่อยากหมดตูดหรืออดตาย ต้องเข้าครัว !
อีกทั้ง Savannah, GA ในช่วงที่ผมไปใช้ชีวิตที่นั่นนั้น ไม่มีร้านอาหารไทยเลย . . . จึงถึงเวลาของพ่อครัวจำเป็น . . . จำเป็นต้องเข้าครัว
วิธีที่ง่ายที่สุดในการทำอาหารของคนไม่รู้เรื่องการทำอาหารอย่างผมคือ "ภาพจำ"
จำได้ว่าไอ้ที่เราเคยทานมันใส่ไอ้นั่นไอ้นี่ ไอ้นี่เราชอบก็ใส่ ไอ้นี่เราไม่ชอบก็ไม่ใส่ ไม่ต้องคิดมากเพราะทำเองกินเองอยู่แล้ว และด้วยความที่ใช้หลัก "ภาพจำ" ผมก็ทำได้เพียงอาหารง่ายๆ สะดวกและรวดเร็วเท่านั้น . . . อาหารจำพวกที่ต้องใช้ฝีมือและความปราณีตนั้นผมจะซื้อทานเอานานๆทีเพื่อสนองความอยาก
คำถามที่ผมมักได้ยินบ่อยครั้งที่โทรศัพท์กลับมาคุยกับป๊าคือ
"วันนี้ทำอะไรกินวะ?"
"ทำเป็น?"
"ทำแล้วจะแดกได้? . . . ฮา"
สบโอกาสจึงถ่ายรูปเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึกและส่งให้ป๊าดูทาง email เพื่อยืนยันป๊าว่า "แดกได้ป๊า"
นานๆเข้าครัวสักครั้งก็ไม่เลวนะครับ . . .
ถ้าคุณ . . .
- ชอบทานอาหาร
- มีอายุ 15 ขวบขึ้นไป
- เป็นผู้หญิง
การเข้าครัวคงเป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตของคุณ ไม่ว่าจะด้วยความจำเป็นหรือเป็นหน้าที่ . . . พูดถึงการเข้าครัวผมมักจะคิดถึงผู้หญิงก่อนผู้ชาย ทั้งๆที่ Chef เก่งๆมากมายที่ผมเห็นตามรายการโทรทัศน์ทั้งไทยและเทศนั้นล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชายทั้งนั้น
หัวหน้า chef ตามโรงแรมหรูหรือนักชิมเลื่องชื่อก็ผู้ชายเช่นกัน
คงเป็นเพราะผมโตมากับครอบครัวที่มี"แม่"เป็นคนทำอาหารกระมัง. . .จึงคิดถึงผู้หญิงก่อน
มาม้าผมดูแลเรื่องอาหารการกินทุกๆมื้อเย็นสมัยที่ยังทำงานอยู่ . . . เหมือนเป็นสูตรสำเร็จ
ของหลายๆบ้านคือ เวลาเข้าครัวผมไม่มีสิทธิ์หรือโอกาสใดๆแม้แต่จะเป็นลูกมือ
แค่ไปยืนดูมาม้าทำอาหารยังแทบไม่ได้เลย . . . มันเกะกะ
ยิ่งผมเป็นเด็กผู้ชายวัยซนด้วยยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ตะหลิว ครก หรือเขียง อย่าหวังจะได้จับ
ในวัยเด็กที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากลอง ผมมักโดนดุเป็นประจำที่เข้าไปทำตัวเกะกะในครัวเสมอๆเวลาที่มาม้าเข้าครัวทำอาหาร . . . เมื่อบ่อยครั้งเข้า ความอยากรู้จึงเริ่มลดและหดหายไปเนื่องด้วยไม่อยากโดนดุและเป็นตัวปัญหาอีก จึงไม่น่าแปลกอะไรถ้าผมจะไม่รู้เรื่องการเข้าครัวเลย
ที่บ้านของคุณมีสูตรสำเร็จแบบนี้เหมือนกันไหมครับ?
จนกระทั่งถึงช่วงเวลาที่ผมต้องเดินทางข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกไปยังฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกา เป็นอีกบทของการเดินทางในโลกกว้าง ต้องอยู่ด้วยตัวเอง เอาตัวรอดและดูแลชีวิตตัวเองทั้งหมด . . . ผมจึงมีโอกาสได้เข้าครัว
สำหรับชีวิตของผมที่นั่น . . . ถ้าไม่อยากหมดตูดหรืออดตาย ต้องเข้าครัว !
อีกทั้ง Savannah, GA ในช่วงที่ผมไปใช้ชีวิตที่นั่นนั้น ไม่มีร้านอาหารไทยเลย . . . จึงถึงเวลาของพ่อครัวจำเป็น . . . จำเป็นต้องเข้าครัว
วิธีที่ง่ายที่สุดในการทำอาหารของคนไม่รู้เรื่องการทำอาหารอย่างผมคือ "ภาพจำ"
จำได้ว่าไอ้ที่เราเคยทานมันใส่ไอ้นั่นไอ้นี่ ไอ้นี่เราชอบก็ใส่ ไอ้นี่เราไม่ชอบก็ไม่ใส่ ไม่ต้องคิดมากเพราะทำเองกินเองอยู่แล้ว และด้วยความที่ใช้หลัก "ภาพจำ" ผมก็ทำได้เพียงอาหารง่ายๆ สะดวกและรวดเร็วเท่านั้น . . . อาหารจำพวกที่ต้องใช้ฝีมือและความปราณีตนั้นผมจะซื้อทานเอานานๆทีเพื่อสนองความอยาก
คำถามที่ผมมักได้ยินบ่อยครั้งที่โทรศัพท์กลับมาคุยกับป๊าคือ
"วันนี้ทำอะไรกินวะ?"
"ทำเป็น?"
"ทำแล้วจะแดกได้? . . . ฮา"
สบโอกาสจึงถ่ายรูปเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึกและส่งให้ป๊าดูทาง email เพื่อยืนยันป๊าว่า "แดกได้ป๊า"
นานๆเข้าครัวสักครั้งก็ไม่เลวนะครับ . . .